วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ทำงานร่วมกับผู้อื่นแบบ Psycho...


ในการทำงานเราไม่สามารถทำงานเพียงลำพังคนเดียวได้ ต้องมีการประสานงานกับบุคคลอื่นๆ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงาน ในการพัฒนาทักษะ หรือความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นนั้น ก็มีแนวทางปฏิบัติง่ายๆ ตามหลักของ P-S-Y-C-H-O ดังนี้


P = Positive Thinking….คิดแต่ทางบวก สร้างโลกสวยงาม
ทัศนคติ มุมมอง หรือความคิด เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าคุณมีทัศนคติ มุมมองความคิดที่ดีแล้วนั้นก็ย่อมส่งผลทำให้คุณมีพฤติกรรมที่ดีตามด้วยเช่น กัน แต่หากคุณมีทัศนคติในเชิงลบ คุณก็จะมีพฤติกรรมที่ไม่อยากให้ความร่วมมือใดๆ นินทาว่าร้าย ก้าวร้าว หรือพฤติกรรมอื่นๆ ซึ่งต่างๆเหล่านี้ก็จะส่งผลทำให้คุณไม่มีความสุขกับการทำงาน ดังนั้นเพื่อให้เราสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข คุณก็ต้องปรับทัศนคติมุมมองความคิดของตัวคุณเองให้กว้าง มองโลกในทางบวกไว้เสมอ
S = Smile…ยิ้มแย้มแจ่มใส สร้างความประทับใจ
การมอบ รอยยิ้ม เป็นการสร้างความคุ้นเคย และความประทับให้กับผู้อื่น และยังเป็นเสน่ห์ให้กับผู้อื่นอยากจะคบหาสมาคมด้วย ถ้าหากคุณเอาแต่หน้าบึ้งตึง ทำสีหน้าท้อแท้เบื่อหน่าย ก็ไม่มีใครที่อยากจะคบหาสมาคม หรืออยากร่วมทำงานด้วยกับคุณ การทำงานด้วยรอยยิ้มจะส่งผลให้คุณทำงานอย่างมีความสุข และทำให้คุณพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาต่างๆ วางแผนการทำงาน หรือตัดสินปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้
Y = Yours…จริงใจให้กัน ช่วยเหลือการงาน
คุณ ควรมีความจริงใจที่จะให้ความช่วยเหลือ และช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการทำงานแก่เพื่อนร่วมงานของคุณ ความจริงใจจะส่งผลให้คุณเป็นผู้รับฟัง และเป็นผู้ให้ที่ดี ซึ่งคุณไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้บุคคลอื่นมาร้องขอให้คุณช่วยแต่คุณสามารถที่ จะอาสาช่วยเหลือในการทำงานหรือจัดการปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ และความจริงใจที่คุณแสดงออกมานั้นย่อมสร้างความประทับใจ และทัศนคติที่ดีจากบุคคลรอบข้างตัวคุณเองได้ด้วยเช่นกัน
C = Compromise ….. สมานสามัคคี ด้วยการประนีประนอม
ความ สามัคคีเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีส่วนทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เพราะงานที่มีประสิทธิภาพได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือกัน ความสามัคคี ความรักใคร่ปรองดองกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน มีความประนีประนอมต่อกัน ซึ่งถ้าทุกคนมีเช่นนี้ก็จะทำให้สามารถลดความตึงเครียด หรือความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างกันได้
H = Human Relations ……สัมพันธ์ที่ดี สร้างมิตรผูกพัน 
การ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ควรเริ่มต้นจากการทักทาย การแสดงความเป็นมิตรกับบุคคลอื่นๆ ทั้งที่รู้จัก หรืออาจไม่รู้จักมาก่อน อีกทั้งการแสดงความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย การแสดงไมตรีจิตกับผู้อื่น รวมไปถึงกิริยาท่าทางที่แสดงออก คำพูด วาจาเพื่อสร้างความคุ้นเคย และรักษาสัมพันธ์อันดีงามไว้ พฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้จะทำให้คุณมีเพื่อน หรือกลุ่มเพื่อนที่กว้างขวาง ซึ่งก็เป็นผลดีในการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น และทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพอีกด้วย อีกทั้งเพื่อน หรือกลุ่มเพื่อนก็พร้อมที่จะคอยให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ
O = Oral Communication….สื่อสารชัดเจน แก้ไขข้อขัดแย้ง 
การ สื่อสารไม่ว่าจะด้วยการสื่อสารประเภทใด ถือเป็นพฤติกรรมหนึ่งที่จำเป็นและสำคัญสำหรับการทำงานร่วมกับผู้อื่น อีกทั้งข้อมูลที่สื่อสารออกไปนั้นก็ต้องเป็นข้อมูลที่ไม่สร้างความขัดแย้ง หรือความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น หรือหน่วยงานอื่น และต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง สื่อสารด้วยความชัดเจน เพราะข้อมูลและสิ่งที่เราจะสื่อสารออกไปนั้น อาจเป็นประโยชน์อย่างมากกับการทำงานของหน่วยงานอื่น อีกทั้ง หากการสื่อสารมีประสิทธิภาพก็สามารถลดปัญหา หรือข้อขัดแย้งในการทำงานลงได้

การ ทำงานร่วมกับผู้อื่นให้ประสบผลสำเร็จได้นั้น คุณควรเริ่มต้นจากการมองตัวคุณเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวคุณเองให้ เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี การยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ มี ความจริงใจในการให้ความช่วยเหลือ การประนีประนอม การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น รวมทั้งการให้ข้อมูลที่ชัดเจน …ซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมจะทำให้คุณมีเสน่ห์ และสร้างความประทับที่ดีกับบุคคลอื่นที่คุณต้องทำงานร่วมด้วย…….

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Key Logger ภัยร้ายบนแป้นพิมพ์

Key Logger คืออาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์ที่รุนแรงมากอย่างหนึ่ง เพราะผู้ไม่หวังดีจะบันทึกการกดแป้นพิมพ์บนคอมพิวเตอร์ของคุณ ขโมยข้อมูลทุกอย่างที่อยู่บนเครื่อง ตั้งแต่รหัสผ่านอีเมล รหัสถอนเงินผ่าน e-banking รหัสซื้อขายหุ้น และความลับทุกอย่างที่คุณพิมพ์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งแฮกเกอร์พวกนี้จะนำข้อมูลของคุณไปเพื่อข่มขู่ แบล็กเมล นำรหัสบัตรเครดิตไปซื้อสินค้า รวมทั้งนำข้อมูลไปใช้ในทางมิชอบอื่นๆ

          ไม่เพียงแต่องค์กรใหญ่เท่านั้นที่จะเป็นเป้าหมายของการโจมตีด้วย Key Logger แม้แต่ตัวคุณเองก็มีสิทธิ์ถูกล้วงข้อมูลได้จากคนใกล้ตัว เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย เจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่คุณยืมมา หรือเจ้าของร้านอินเทอร์เน็ตที่คุณไปใช้บริการ เนื่องจาก Key Logger เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ติดตั้งได้ทั้งด้านหลังเครื่องคอมพิวเตอร์ ฝังไว้ในแป้นพิมพ์ หรืออาจเป็นซอฟต์แวร์ที่ฝังอยู่ในวินโดวส์ และแพร่กระจายได้พร้อมกับไวรัส ผ่านทางธัมป์ไดรฟ์ ผ่านทางการแชท หรือผ่านทางอีเมลก็ได้
ป้องกัน Key Logger ด้วยตัวคุณเอง

ทุก องค์กรควรป้องกัน Key Logger โดยการให้ความรู้และการอบรมพนักงานผู้ใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อให้เกิดความระแวดระวังและหมั่นตรวจสอบเครื่องของตน คอยเฝ้าดูด้านหลังเครื่องคอมพิวเตอร์ คอยเฝ้าดูความผิดปกติหรือสิ่งแปลกปลอมบนแป้นพิมพ์
เปลี่ยน มาใช้ Notebook PC แทน Desktop PC เพราะแป้นพิมพ์ของโน้ตบุ๊กติดตั้งอุปกรณ์ Key Logger ได้ยากกว่า อีกทั้งยังสามารถพกพาติดตัวไปได้ตลอดเวลา จึงลดโอกาสที่ผู้ไม่หวังดีจะแอบมาติดตั้ง Key Logger บนเครื่องของคุณได้
ควร เพิ่มมาตรการตรวจสอบรหัสผ่านเพิ่มขึ้นชั้นหนึ่ง แม้โดยปกติเรามีการตรวจสอบด้วย Username และ Password อยู่แล้ว แต่เพื่อความไม่ประมาทควรมีการตรวจสอบรหัสผ่านโดยใช้ Secure Token, Smart card หรืออุปกรณ์อื่นอีกชั้นหนึ่ง และความมีการเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นประจำ เพื่อป้องกันคนร้ายที่ได้รหัสก่อนหน้านี้กลับเข้ามาขโมยข้อมูลได้อีก
ติด ตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส สำหรับ Key Logger แบบซอฟต์แวร์ และป้องกัน Key Logger แบบฮาร์ดแวร์ด้วยการควบคุมการเข้าออกของพนักงาน เพื่อไม่ให้สามารถลักลอบติดตั้งอุปกรณ์ที่ตัวเครื่องได้
ควร เพิ่มเมนูแบบ Drop Down เพื่อทดแทนเมนูแบบที่ต้องพิมพ์ หรือใส่ข้อมูลด้วยการคลิกตัวอักษรบนหน้าจอแทนการพิมพ์ ซึ่ง Key Logger จะไม่สามารถดักจับข้อมูลได้
หรือ หากจะป้องกันในระดับ advance ก็สามารถหาซอฟต์แวร์ที่ช่วยตรวจจับ Key Logger มาใช้ ซึ่งสามารถช่วยปิดการติดต่อระหว่าง Key Logger กับคอมพิวเตอร์ และยังช่วยแจ้งเตือนไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องให้โดยอันโนมัติด้วย

          แม้ฝ่ายไอทีขององค์กรจะมีหน้าที่คอยดูแลและแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ให้แก่ผู้ใช้ คอมพิวเตอร์ แต่ในความเป็นจริงอาจไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง วิธีที่ดีที่สุดคือ ให้ความรู้พนักงานได้เข้าใจถึงอันตรายและการป้องกันการโจมตีเหล่านี้ เพื่อให้พนักงานสามารถดูแลตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเองได้ ผู้ไม่หวังดีก็จะเข้ามาขโมยข้อมูลได้ยากลำบากมากขึ้น

ที่มา  http://th.jobsdb.com/


จะเสียภาษีต้องมีเงินเดือนเท่าไร?

ภาษี หลายคนยังดูเป็นเรื่องยากและซับซ้อน บางคนยังไม่ทราบว่าเงินเดือนเท่าไรถึงจะต้องเสียภาษีด้วยซ้ำ งั้นเรามาหาคำตอบจากบทความนี้กัน
 

คน ธรรมดาอย่างเรา เค้าเสียภาษีกันยังไง เราคนธรรมดาไม่ได้ทำการค้าอะไร ไม่ได้ตั้งเป็นบริษัท แต่เป็นคนทำงานในบริษัทหรือหน่วยงานของรัฐ มีเงินเดือนที่นายจ้างจ่ายให้ทุกเดือนจะต้องเสียภาษี นายจ้างที่จ่ายเงินให้เราหน้าที่ของนายจ้างเมื่อมีการจ่ายเงินได้ เขาต้องหักเงินส่วนหนึ่งออกจากรายได้ของเราเป็นภาษี จ่ายให้เมื่อใดก็ให้หักไว้เมื่อนั้น แล้วมีหน้าที่นำภาษีที่หักไว้ส่งให้กรมสรรพากร
กฎหมาย กำหนดวิธีการคำนวณที่แตกต่างกันตามประเภทเงินที่เราได้รับเช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่านายหน้า คิดอย่างหนึ่ง เงินได้อื่นๆ คิดอีกแบบหนึ่งอัตราการหักภาษีก็ไม่เหมือนกัน เงินที่หักออกจากรายได้ของเรานี้ เราเรียกว่า “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย”

ความ หมาย “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย” นายจ้างจ่ายเงินให้เราเมื่อไหร่ ก็หักเมื่อนั้น เป็นการหักภาษีในขณะที่จ่ายเงินให้เรา แต่หักภาษีตามอัตราที่กำหนด ไม่ได้หักหมด มันเป็นวิธีการเสียภาษีเงินได้วิธีหนึ่งที่กฎหมายกำหนด มีวิธีคิดตามประเภทเงินที่เราได้รับ เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่านายหน้า คิดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเราได้รับเงินอื่นๆ เช่น ได้จากการที่เรารับจ้าง ได้รับดอกเบี้ยจากธนาคารเขาจะคิดอีกแบบหนึ่ง อัตราการหักภาษีไม่เหมือนกัน

นาย หน้าจะต้องหักเงินภาษีไว้ทันทีที่มีการจ่ายเงินให้เรา แล้วยังต้องออกหนังสือรับรองไว้เป็นหลักฐานว่าได้หักเงินภาษีของเราไว้ เพื่อให้เรานำไปยื่นพร้อมกับแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ที่ต้องยื่นชำระภาษี เงินได้ ตอนสิ้นปีเป็นหลักฐานว่าเราได้ถูกหักภาษีไว้แล้ว ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนทุกคนที่มีรายได้ก็ต้องเสียภาษี เว้นแต่มีรายได้บางอย่างที่กฎหมายยกเว้นให้ก็ไม่ต้องถูกหักภาษีไว้ในขณะที่ มีการจ่าย

ผู้ มีเงินได้ต้องใช้แบบ ภงด.91 ในการยื่นภาษี โดยเกณฑ์เงินได้พึงประเมินที่เข้าเกณฑ์ต้องเสียภาษี คือต้องมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาท หรือ 240,000 บาทต่อปี เพราะเมื่อหักค่าใช้จ่าย 60,000 บาท และหักลดหย่อนส่วนตัว 30,000 บาทแล้ว จะเหลือเงินได้ที่ต้องเสียภาษี 150,000 บาท ซึ่งอยู่ในช่วงที่ไม่ต้องเสียภาษี แต่ หากใครมีส่วนลดหย่อน เช่นดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน ประกันชีวิต ฯลฯ ก็จะทำให้ฐานเงินเดือนเฉลี่ยต่อเดือนที่ไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น เช่น นำดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน 50,000 มาเป็นค่าลดหย่อน จะทำให้ต้องมีเงินเดือนสูงกว่า 21,700 บาท ถึงจะเสียภาษีเป็นต้น

ฐานภาษีที่ใช้ในการคำนวณภาษี

โปรแกรมบัญชี MAC-5
รายได้ต่ำกว่า 150,000 บาท    ไม่ต้องเสียภาษี
รายได้สุทธิในช่วง 150,001 – 300,000 บาท เสียภาษี 5%
รายได้สุทธิในช่วง   300,001 – 500,000 บาท เสียภาษี 10%
รายได้สุทธิในช่วง 500,001 – 750,000 บาท เสียภาษี 15%
รายได้สุทธิในช่วง 750,001 – 1,000,000 บาท เสียภาษี 20%
รายได้สุทธิในช่วง 1,000,001 – 2,000,000 บาท เสียภาษี 25%
รายได้สุทธิในช่วง 2,000,001 – 4,000,000 บาท เสียภาษี 30%
รายได้สุทธิในช่วง 4,000,001 – 20,000,000 บาท เสียภาษี 35%
รายได้มากกว่า      20,000,001 บาทขึ้นไป เสียภาษี 37%

เขียนโดย; มนัสภร ประเสริฐ (ปอ)
อ้างอิงและเรียบเรียงข้อมูลจาก; http://www.google.co.th

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่ใน DNA

การ ชิงไหวชิงพริบในสมรภูมิการแข่งขันทางการตลาดทุกวันนี้ ไม่ได้ขีดวงจำกัดอยู่แค่เรื่องของคุณภาพสินค้า หรือบริการเป็นหลักอีกต่อไปแล้ว แต่ยังขึ้นอยู่กับการสร้างสรรค์ รวมถึงการนำเรื่องของดีไซน์ เข้ามาช่วยสร้างความแตกต่างที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งในท้ายที่สุด จะเข้ามาเป็นตัวช่วยในเรื่องของการสร้างแต้มต่อในการแข่งขันเหนือคู่แข่งขัน รายอื่น 

เรียกได้ว่า เป็นการนำเรื่องของ Emotional เข้ามาเป็นตัว Approach ที่สามารถเข้าถึงความต้องการทางด้านอารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำการตลาด

การที่จะเป็นเรื่องดังกล่าวนี้ได้ น่าจะอยู่ที่การสร้าง DNA ของคนในองค์กรให้มีในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถต่อยอด หรือนำมาใช้ได้ทันที จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกวันนี้ องค์กรใหญ่ๆในบ้านเราต่างก็มีการเพาะบ่ม หรือสร้างคนที่มีในเรื่องของ Creastive Mind อย่างในกรณีของ SCG เป็นต้น
ว่า กันว่า การสร้างหรือเพาะบ่มในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมานั้นหลายๆบริษัทชั้น นำของโลกมีการจัดตั้ง “ตลาดไอเดีย” ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้เกิดการระดมสมองของผู้ร่วมงาน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสินค้ามีครีเทีฟ ดีไซน์ เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้กับตลาด ขณะ ดัยวกัน กรออกแบบหรือดีไซน์ต้องถือเป็นหัวใจสำคัญในความสำเร็จเช่นเดียวกัน ซึ่งดีไซน์ไม่ใช่แค่เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่สินค้าที่มีดีไซน์ฉียบจะต้องมีคุณสมบัติเด่นๆ อาทิ

ง่ายต่อการเปิดแพ็คเก็จ
ง่ายต่อการประกอบ
ง่ายต่อการเรียนรู้วิธีการใช้
ง่ายต่อการใช้งาน
ง่ายต่อการซ่อมแซม
ง่ายต่อการกำจัด

ที่สำคัญต้องตอบโจทย์ทางด้านอารมณ์ วันนี้ลองสำรวจตัวเองดูว่าเป็นนักการตลาดแบบสร้างสรรค์แล้วหรือยัง

เนื้อหาส่วนหนึ่งจาก นิตยสาร Brandage Essential
โดย ต้นสนคู่


วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ท่องเที่ยวทั่วไทย สบายใจได้ลดหย่อนภาษี


หลายๆ ท่านคงได้ยินเรื่อง การลดหย่อนภาษีการท่องเที่ยว แล้ว อาจยังมีข้อสงสัยกันว่ามีรายละเอียดอย่างไรและมีเงื่อนไขอะไรบ้างที่สามารถ นำมาหักลดหย่อนภาษีได้
สืบ เนื่องจากเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2557 ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่าง พ.ร.ฎ. ซึ่งเป็นมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและจัดอบรมสัมมนาภายใน ประเทศ และช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยว 

โดยนักท่องเที่ยวที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล สามารถนำรายจ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ในปีภาษี 2557 และปี 2558 มีรายละเอียด ดังนี้

1. บุคคล ธรรมดาที่เป็นนักท่องเที่ยว ต้องซื้อทัวร์จากบริษัททัวร์ในประเทศ จ่ายเป็นค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ หรือจ่ายค่าห้องพักในโรงแรมที่เสียภาษีถูกต้อง สำหรับการท่องเที่ยวภายในประเทศตามจำนวนที่จ่ายจริง สามารถนำรายจ่ายดังกล่าวมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อคน 

2. บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  สามารถนำรายจ่ายที่เป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอบรมสัมมนาภายในประเทศ ให้แก่ลูกจ้าง หรือรายจ่ายที่จ่ายให้กับผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวเพื่อการอบรมสัมมนา มาหักลดหย่อนภาษีได้ 100%

จากข้อสรุปนี้ หลายๆ ท่านคงเริ่มวางแผนการท่องเที่ยวกันแล้ว หวังว่าการท่องเที่ยวในปี 2557 ถึง 
ปี 2558 นี้ คงได้เที่ยวกันอย่างสบายใจและสบายกระเป๋ากันทุกท่านนะคะ

ผู้เขียน; จันดี ทองพันชั่ง (ต้อม)
DPineSuite by Doublepine

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

กลยุทธ์ ก้าวใหม่ Microsoft

ณ เวลานี้บางท่านอาจทราบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ของยักษ์ใหญ่วงการซอฟต์แวร์ กันไปแล้ว แต่หลายท่านก็อาจจะสงสัยว่ามันคืออะไร แล้ว “กลยุทธ์” เกี่ยวอะไรกับ Microsoft
สืบ เนื่องจากเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา Microsoft ได้มีการประกาศเปิดตัวระบบปฎิบัติการ Windows เวอร์ชั่นใหม่ ที่ก่อนหน้านี้สื่อหลายสำนักต่างคาดการณ์ว่าจะใช้ชื่อ Windows 9 ถัดจาก Windows 7, 8 ตามลำดับ แต่ผิดคาด Microsoft ไม่สนใจการนับลำดับปกติดังกล่าว แต่กลับใช้ชื่อว่า Windows 10 
 
 
แต่ ที่ทำให้ผมสนใจหลังจากได้ทราบข้อมูลดังกล่าว ไม่ใช่ คุณสมบัติอะไรที่เพิ่มขึ้น หรือมีให้โหลดทดลองใช้งานวันไหน แต่กลับสงสัยว่า “ทำไม? เพราะอะไร? Microsoft จึงตัดสินใจใช้ชื่อเวอร์ชั่นใหม่เป็น Windows 10”...และแน่นอนครับสิ่งแรกหลังจากทราบข้อมูลจากสื่อ Internet เราควรยืนยันให้แน่ใจก่อนว่าข้อมูลที่ได้รับนั่นถูกต้อง ซึ่งสามารถยืนยันได้จาก http://preview.windows.com 
 
และ ข้อมูลที่พอจะใช้ประกอบ เพื่อยืนยันและตอบข้อสงสัยของผมก็มาจากคำประกอบภาพ One product family, One platform, One store และจากคลิปที่ชื่อว่า “A First Look at Windows 10” ใน YouTube ซึ่งเป็นคลิปงานประกาศเปิดตัว Windows 10 โดย Terry Myerson : Executive Vice president Operating Systems ของ Microsoft ได้กล่าวในช่วงหนึ่งว่า “One Microsoft Strategy” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ Microsoft ประกาศใช้เมื่อต้นปีนี้ และเขายังกล่าวอีกว่า ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวก็น่าจะตั้งชื่อเวอร์ชั่นใหม่เป็น Windows One เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ตัวอื่น เช่น Xbox One, OneNote, OneDrive แต่ชื่อดังกล่าวก็มีการใช้งานไปแล้ว และด้วยเหตุผลว่า Windows เวอร์ชั่นนี้จะเป็นการก้าวสู่ยุคใหม่ของ Microsoft จึงตั้งชื่อว่า Windows 10 เพื่อสร้างความแตกต่าง
 
จาก ข้อมูลทั้งหมดตามความเห็นของผมก็พอจะสรุปได้ว่า Microsoft ต้องการจะสื่อคือ ระบบปฎิบัติการที่สูงกว่ารุ่นก่อน (Windows 8) ตามแนวทางกลยุทธ์ขององค์กร (One = 1) และเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อก้าวสู่ยุคใหม่ของระบบปฎิบัติการ (0) จึงเกิดเป็น Windows 10
 
ทั้ง หมดนี้จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่า “กลยุทธ์” (Strategy) มีความจำเป็นต่อการดำเนินงาน และตัวกำหนดทิศทางขององค์กร แต่เหนืออื่นใดทุกคนในองค์กรต้องเข้าใจ และสามารถนำกลยุทธ์นั้นมาใช้ให้เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงแต่เขียนไว้ในกระดาษหรือประกาศในที่ประชุม ..ขอบคุณครับ

ผู้เขียน; เอกพล ซ้ายเกลี้ยง (เอก)
DPine Suite by Doublepine

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ยุทธศาสตร์การค้า “Differentiation Strategy”

            ยุทธศาสตร์การค้าเพื่อสร้างความได้เปรียบในธุรกิจการที่ธุรกิจจะเติบโตได้มีกำไร และมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งสำหรับการบริหารงานแบบเดิมๆ โดยมุ่งเน้นในเรื่องของผลิตภัณฑ์ ต้นทุน หรือเน้นการขนส่งอาจได้ผลมากในการทำธุรกิจยุคก่อน แต่ปัจจุบันหากต้องการสร้างความได้เปรียบให้มากขึ้น จำเป็นที่จะต้องสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้น เราอาจคุ้นหูกับคำว่า “Differentiation Strategy” กลยุทธ์เพื่อสร้างความแตกต่างในตราสินค้า

Differentiation หรือกลยุทธ์การแข่งขันที่ความแตกต่างของสินคา/บริการในตลาดขนาดใหญ่เป็นกลยุทธ์การขายสินค้า การบริการที่มีความแตกต่างจากคูแข่งให้แกผู้บริโภคในตลาดขนาดใหญ่ “ความแตกต่าง” ในที่นี้  หมายถึง ความยืดหยุนของผลิตภัณฑ์บริการที่ดีความง่ายในการบำรุงรักษา ความคงทน ความง่ายในการใช้งานอะไหล่ที่หาง่าย ความประหยัด หรือคุณลักษณะที่ดีกว่า เป็นต้น การผลิตสินค้า และบริการ ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าไม่เหมือนกับสินค้าที่มีทั่วไป ทำให้สามารถตั้งราคาสินค้า/บริการได้สูงกว่า และยังสามารถสร้างความภัคดีต่อตราสินค้าให้เกิดขึ้นได้ เนื่องจากลูกค้าเคยชินกับความแตกต่างของสินค้าที่ไม่สามารถหาทดแทนจากสินค้าของคู่แข่งได้


         สิ่งที่จำเป็นสำหรับการใช้กลยุทธ์ Differentiation จะต้องมีความเชี่ยวชาญในเรื่องเทคโนโลยี รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของ Trend ในอนาคต อาจต้องมีหัว Create บ้าง ตัวอย่างของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจากการดำเนินกลยุทธ์ Differentiation อาทิเช่น 

         สิงคโปร์แอร์ไลน์  เป็นสายการบินที่คนใช้บริการมากในอันดับต้น ๆ ของโลก สิ่งที่แตกต่างก็คือ ทุกสายการบินมักจะสื่อถึงเรื่องความสามารถของเครื่องบิน ความชำนาญของนักบิน การขยายเส้นทาง แต่ถ้ามองกลยุทธ์ของสิงคโปร์แอร์ไลน์ เขาถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็น Standard Benefit  ซึ่งทุกสายการบินจะต้องมี สิ่งที่สิงคโปร์แอร์ไลน์ทำ คือ การสร้างความแตกต่างภายในเครื่องบิน อย่างเครื่องโบอิ้ง 747 เหมือนกัน แต่สิงคโปร์แอร์ไลน์ เอามาปรับเบาะข้างในใหม่หมดให้นุ่มสบายกว่า เน้นเรื่องเมนูอาหารที่หลากหลาย มีพนักงานให้บริการจำนวนมาก และการบริการที่ดีกว่า ด้วยการคัดสรรพนักงานต้อนรับบนเครื่องให้มีความสวยงามแบบเอเชีย ใส่ชุด Sarong Kabaya  ออกแบบโดย ปิแอร์ บัลแมง และสโลแกนของสิงคโปร์แอร์ไลน์ช่วงหนึ่ง คือ “In flight service even other airlines talk about” หรือ ให้บริการที่ดีกว่าที่สายการบินทุกสายพูดถึง ซึ่งเหล่านี้ถือว่าเป็น Extra Benefit

         ซีเลค ทูน่า ที่หยิบเอาเรื่องไขมันต่ำ กินแล้วไม่อ้วนมาพูด ก็ถือว่าเป็นการสร้าง Differentiate ให้กับสินค้าได้ เพราะปลาทูน่ายี่ห้ออื่นไม่เคยหยิบประเด็นนี้มาพูด มักพูดถึงแต่รสชาติ คุณค่าทางโภชนการ หรือเรื่อง DHA

        แชมพู Head & Shoulder ซึ่งเป็นแชมพูขจัดรังแค ใช้คุณสมบัติที่เป็นแชมพูขจัดรังแคที่ป้องกันการเกิดรังแคด้วย มาสร้าง Extra Benefit ให้กับสินค้า ส่วน Fringe Benefit ก็คือสระแล้วเย็น ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้าไม่เย็นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเย็นก็ดูดีขึ้นมา
แล้วคุณได้ลองสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของคุณแล้วรึยัง

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

สร้างความเป็นมืออาชีพให้กับมนุษย์เงินเดือน



คงเป็นที่น่าสนใจไม่น้อยถ้ามนุษย์เงินเดือนอย่างเรา จะได้ปรับเงินทุกๆ 6 เดือน โบนัส มากกว่า 2 เดือนขึ้นไป และได้รับสวัสดิการอีกมากมาย แล้วทุกวันนี้มนุษย์เงินเดือนตัวเล็กๆ อย่างเราได้รับสิ่งที่เราหวังเช่นนั้นหรือไม่ ลองหันมาพัฒนาตัวเองตั้งแต่วันนี้ดีกว่า โดยสำรวจตัวเองอย่างง่ายๆ 

    1. เราเป็นคนสุจริต เชื่อถือได้ หรือไม่ โดยดูจากการตรงต่อเวลา พูดคำไหนคำนั้น กล้าคิด และรัยผิดชอบการกระทำของตนเอง  ได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนร่วมงาน และเจ้านาย

    2. สามารถทำงานเป็นทีม และมีมารยาทตามสายอาชีพ ดูจากการยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง พัฒนาสตนเองให้รู้เท่าทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป เพื่อพัฒนาตัวเองในการทำงาน

    3. ใส่ใจ และห่วงใยลูกค้า ลูกค้านี่ไม่ได้หมายความถึงลูกค้าของบริษัท หรือผู้ซื้อเท่านั้น แต่เป็นคนที่เราให้บริการเค้า อาทิ ลูกค้าของเลขานุการ คือเจ้านาย เป็นต้น ลองสำรวจดูว่าได้ให้บริการในสิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถทำได้ให้เค้าอย่างใจจริง ใจ และเตือนเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด

    4. สำนึก และรับผิดชอบในหน้าที่ รู้ว่าหน้าที่ของตนเองคืออะไร หรือเข้าไปให้คำแนะนำ และช่วยเหลือผู้ที่ต้องการอย่างจริงใจ มีสติ ควบคุมตนเองได้ ส่งงานได้ตามเวลาสม่ำเสมอ ทำงานได้เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ

    5. รับผิดชอบในสิ่งที่ทำ มีความคิดริเริ่ม เป็นคนสนใจที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ  เพื่อนำมาปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้น คิดอยู่เสมอว่าฉันจะเก่งเรื่องนี้ได้อย่างไร รับผิดชอบต่องานของตนเต็มที่แม้จะเกิดปัญหามาขัดขวาง

    6. มุ่งมั่นเรียนรู้ ต้องเป็นที่หนึ่ง ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องกดผู้อื่น หรือรังแกผู้อื่นเพื่อให้เป็นที่หนึ่ง หรือต้องประจบนาย แต่การเป็นที่หนึ่งคือการที่มุ่งมั่นพัฒนาให้ตนเองนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับบริษัท เห็นปัญหาเป็นโอกาส และยื่นมือเข้าช่วยเหลือแก้ไข เรียนรู้สิ่งใหม่ที่พัฒนาให้การทำงานดียิ่งขึ้น 
    7. เคารพ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นคนชอบช่วยเหลือผู้อื่น เคารพให้เกียรติผู้อื่นเสมอ เอาประโยชน์ของผู้อื่นเป็นที่ตั้ง ไม่แอบอ้าง แบ่งแยก หรือกลั่นแกล้งใส่ร้ายผู้อื่น ห่วงใยสุขภาพของเพื่อนร่วมงานเสมอ

    8. ดูแลตนเอง มุ่งมั่นพัฒนา ขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆ ออกกำลังกายดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจ วางตัวนอกเวลางานได้อย่างเหมาะสม คงเส้นคงวา

    9. มีความรู้ และทักษะที่จำเป็นในงานของตนเอง ทั้งด้านเทคโนโลยี ใช้ทรัพยากรในการทำงานได้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพ แสดงออกถึงความเป็นผู้นำ มีทักษะในการทำงานเป็นทีม มีความเป็นมืออาชีพในงานของตนเอง

ลองประเมินตนเองว่าเราเป็นคนที่มีลักษณะแบบนี้ใช่หรือไม่ สิ่งที่เจ้านาย หรือผู้บังคับบัญชามองหา คือ การที่ได้พนักงานที่ดีมีความรับผิดชอบในงานของตนได้อย่างเต็มที่ สามารถวางใจได้เมื่อสั่งงานแล้วจะได้งานที่ดีที่สุด ถ้าเป็นแบบนี้ความฝันที่จะได้รับและโอกาสในความก้าวหน้าคงไม่ไกลเกินเอื้อม

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

วิธีเลือก Software ให้โดนใจ




หลายท่านอาจมีหลักในการเลือกใช้ ซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกันออกไป วันนี้มีหลักในการเปรียบเทียบ เพียงไม่กี่ข้อที่จะทำให้ได้ ซอฟต์แวร์ เหมาะสมกับธุรกิจของธุรกิจของคุณ

1. เช็คฟังก์ชั่นที่จำเป็นสำหรับธุรกิจคุณต้องการ มีอะไรบ้าง ที่มองว่าจำเป็นสำหรับธุรกิจ ให้ลิสต์ออกมา ทั้งนี้รวมไปถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยให้การทำงานสะดวก และรวดเร็วขึ้นด้วย

2. งบประมาณ ถือเป็น ประเด็นสำคัญมาก ถึงแม้ว่าซอฟต์แวร์ จะมีราคาแพง แต่ถ้ามีความคุ้มค่ากับการลงทุน และยังช่วยลดขั้นตอนงาน จะต้องแยกระหว่างค่าใช้จ่ายครั้งเดียว กับค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายตลอดอายุการใช้งาน ว่ามีความคุ้มค่ามากน้อยเพียงใด


3. ยี่ห้อซอฟต์แวร์ที่ติดตลาด ซอฟต์แวร์ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงจะทำให้สามารถมั่นใจได้ว่าไม่ค่อยมีปัญหา ในการใช้งาน หรือถ้ามีปัญหาก็น่าจะมีทีมงานที่คอยแก้ไขปัญหาให้ทันต่อการใช้งานเสมอ 

4. การ Support นี้จะรวมตั้งแต่การฝึกอบรมผู้ใช้งานโปรแกรม การติดตั้งผลิตภัณฑ์ การตอบคำถามหรือปัญหาของผู้ใช้งาน และเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ซึ่งการ Support ของซอฟต์แวร์ จะต้องรวดเร็ว

5. งานพัฒนาของโปรแกรมโดยทั่วไปนั้น จะมีการเปลี่ยนแปลง หรือมีการพัฒนาระบบให้มีความฉลาด ทันต่อสภาพเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย หรือหลักวิชาการอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ใช้งาน

6. ความน่าเชื่อถือของโปรแกรม หรือความเสถียรของระบบนั้นถูกมองแตกต่างกัน ระหว่างฝั่งธุรกิจกับฝั่งไอที เพราะว่าฝั่งธุรกิจต้องการให้ระบบใช้งาน ได้ตลอด 24 ชม. ส่วนฝั่งไอที จะต้องมีการพักหรือ ปิดระบบเพื่อการบำรุงรักษา ซึ่งซอฟท์แวร์ในโลกอนาคตจะต้องรองรับการทำงานในรูปแบบ 24 ชม. ได้ 

7. ประสิทธิภาพของระบบ เนื่องจากโปรแกรมใดก็ตามที่มีจำนวนผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก มักจะประสบปัญหาการโอเวอร์โหลดของระบบ อันมีผลทำให้ระบบล่มเนื่องจากมีการใช้งานระบบเกินกว่าที่ได้ประเมินความสามารถในการรองรับการใช้งานไว้ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องประเมินจำนวนผู้ใช้งานและลักษณะของการใช้งานให้ดีก่อนทำการตัดสินใจ


หลักง่ายๆ แค่เพียง 7 ข้อ อาจเสริมธุรกิจให้มีความคล่องตัว มีระบบงานที่มั่นคง และชัดเจน พร้อมทั้งทำงานแบบมืออาชีพ ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

แคมเปญ Ice Bucket challenge กับแบรนด์สินค้า?

ตอนนี้ กระแส Ice Bucket challenge หรือนำน้ำแข็งผสมน้ำเย็นเทราดตัว กำลังเป็นที่นิยมกันในบ้านเรา  โดยเราทราบเพียงว่า แคมเปญนี้เป็นแคมเปญในต่างประเทศ เป็นการท้าทายกันให้ทำตามเพื่อบริจาคเงินเข้าการกุศล ซึ่งตอนนี้ทำยอดบริจาคเกิน 15 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว เรามาทำความรู้จักคนที่ริ่เริ่มทำแคมเปญนี้กัน

หลายคนอาจรู้จักแคมเปญนี้ จากการที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค  เอาน้ำแข็งและน้ำเย็นราดตัวเอง  และท้าให้บิลเกต ทำอย่างเขาดูบ้าง  

แต่แท้จริงแล้ว แคมเปญนี้ เริ่มขึ้นโดยมูลนิธิ ALS ในสหรัฐ (Amyotrophic Lateral Sclerosis) หรือ  มูลนิธิเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อล้มเหลว โดยอาการของโรค คือ กล้ามเนื้อในร่างกายจะค่อยๆ อ่อนแรงลง จนเป็นอัมพาต และเสียชีวิต มูลนิธิจึงคิดเคมเปญนี้ขึ้นมา  เพื่อให้คนทั่วไปตระหนักถึงโรคนี้ โดยท้าให้เอาน้ำแข็งราดตัวเอง แล้วส่งคำท้าไปเรื่อยๆ

วิธีการ คือ คนที่โดน Challenge หรือโดนท้า จะต้องเลือกระหว่างการเอาน้ำราดตัวเองหรือคนรอบข้าง  แล้วจ่ายเงินเข้ามูลนิธิ ALS  10 เหรียญ แต่ถ้าไม่ราดน้ำตัวเอง ต้องบริจาคเงิน 100 เหรียญ ให้มูลนิธิ ALS  ผ่านเวบไซต์  www.alsa.org 

แคมเปญนี้ เป็นที่รู้จักในช่วงกลางเดือนกรกฏาคม เมื่อ Chris  Kennedy  นักกอล์ฟจากซาราโซต้า   เขาเอาน้ำเย็นมาราดตัว และระบุแบบเฉพาะเจาะจงว่า หากใครรับคำท้า จะต้องบริจาคเงินเข้า มูลนิธิ ALS  ซึ่งเขาท้าหลานของเขาเอง และหลานเขาก็รับคำท้า  

จากนั้นก็มีการท้าต่อๆ กันมา  เป็นกระแสในทั่วโลกไม่ถึง 1สัปดาห์  มีเซเลบริตี้เข้ามาร่วมกิจกรรมกันมากมาย ที่เราทราบกัน คือ มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ค ท้าบิลเกต ให้ทำบ้าง  และไม่นาน บิล เกต รับคำท้า 

รวมไปถึง ทิม คุก ซีอีโอ แอปเปิ้ล และ สัตยา นาเดลลา ซีอีโอ ไมโครซอฟท์  

นาย เจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) ซีอีโอของอเมซอน ก็ร่วมทำด้วย 

แวดวงนักร้อง เซเลบชื่อดังในต่างประเทศก็ทำ อย่าง จัสติน ทิมเบอร์เลค พร้อมกับเพื่อนๆ ของเขา ก็ร่วมแคมเปญนี้ด้วย รวมถึง เจนิเฟอร์ โลเปซ  ก็ร่วมกับแคมเปญนี้ด้วย รวมทั้งโอปรา วินฟรี ก็ร่วมด้วย

หรือแม้แต่ ซีอีโอ ของดิสนีย์ ก็ร่วมด้วย 



จากนั้นก็เริ่มมาที่ไทยเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อคนที่ริ่เริ่มแคมเปญนี้ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา คือ คุณพาที สารสิน  ซีอีโอ นกแอร์ ซึ่งน่าจะเป็นคนแรกที่นำเอาแคมเปญนี้เข้ามาในไทย โดยคุณพาที พร้อมภรรยา นำน้ำราดตัวและกระโดดลงสระว่ายน้ำ พร้อมท้าเซเลบริตี้ ต่อ จากนั้นจึงเกิดการท้าต่อๆ กันมาให้ทำในลักษณะเดียวกัน หนึ่งในผู้ที่ถูกท้า คือ คุณวู้ดดี้ มิลินทจินดา  

จากนั้น เราจึงได้เห็นเหล่าเซเลบในไทย ในกลุ่มของพิธีกร และ ซีอีโอต่างๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นเซเลบในแวดวงไอที และโทรคมนาคม ทั้ง คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ซีอีโอ ทรู คอร์ปอเรชั่น รวมทั้งผู้บริหารของเอไอเอสและดีแทคด้วย

เมื่อคืนที่ผ่านมา เจมส์ จิรายุ ตั้งศรีสุข พรีเซ็นเตอร์เอไอเอส 3G 2100 ได้รับคำท้าคุณสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ซีอีโอ AIS แล้ว

จากนั้นก็มาถึง เหล่าเซเลบไอที อย่าง คุณหนุ่ย พงศ์สุข ท้าต่อไปยังคุณ จอห์น รัตนเวโรจน์ ,จิตต์สุภา ฉิน หรือ ซู่ชิง และ "คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา" และคุณซู่ชิง  ผู้ดำเนินรายการทางโทรทัศน์ทางวอยซ์ทีวี  ก็รับคำท้าด้วยคลิปนี้ 

คุณซู่ชิง ร่วมบริจาคเงินให้มูลนิธิกระจกเงาด้วย และขอท้าต่อ 3 คนคือ  คุณกิตติ สิงหาปัด, คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และคุณซี ฉัตรปวีณ์

และในที่สุด คุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก็รับคำท้าคุณซู่ชิง ใส่เสื้อตัวเก่ง เทน้ำใส่ตัวที่สวนลุม และท้าต่อไปถึง คุณปลื้ม หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล , คุณปัญญา นิรันดร์กุล 

หากสังเกตุดีๆ จะพบว่า ในช่วงหลังๆ ของการเข้าร่วมแคมเปญนี้ เหล่าเซเลบในต่างประเทศจะใส่เสื้อที่มีความเกี่ยวข้องกับแบรนด์ หรือ ธุรกิจที่พวกเขาชื่นชอบ  บางรายมีโฆษณาแฝงด้วย  

อย่างจัสติน ทิมเบอร์เลค ใส่เสื้อยืดของวง "Pink Floyd " วงดนตรีที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ หรือ ผู้บริหารคนอื่นๆ ของไมโครซอฟท์  ที่เข้าร่วมแคมเปญนี้  ใส่เสื้อยืด ที่สกรีนว่า Ability งานสัมมนาที่ไมโครซอฟท์  เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับคนพิการ ที่ช่วงหลังๆ บริษัทไอทีต่างๆ รวมถึงไมโครซอฟท์ หันมาจดลิขสิทธิ์พัฒนาอุปกรณ์ช่วยคนพิการมากขึ้น ส่วน สัตยา ซีอีโอของไมโครซอฟท์  เป็นคนเดียวที่ใส่เสื้อโปโลของพูม่า 

ส่วนในไทยก็มีโฆษณาแฝงด้วยเช่นกัน อย่าง เจมส์ จิรายุ  ที่ใส่เสื้อยืดสีดำ สกรีนลาย Monkey King ซึ่งเป็นกลุ่มแฟนคลับของเจมส์ ที่ตั้งชื่อให้ตามคาแรกเตอร์ของเจมส์ จิ และเสื้อตัวนี้ ทำขึ้นเพื่อจัดจำหน่ายด้วย

หรือ ผู้บริหารของโอเปอเรเตอร์ค่ายมือถือก็ไม่ยอมน้อยหน้ากัน ทุกค่ายต่างใส่เสื้อและใช้ถังน้ำที่ราดตัว   เป็นสีธีมของค่ายตัวเองกันอย่างพร้อมเพรียง

จากโครงการดีๆที่เริ่มขึ้นในต่างประเทศ  จนกระจายมายังทั่วโลก  แพร่หลายแล้วในไทย  และยังสามารถไทร์อินกลยุทธ์การโฆษณาได้แบบเนียนๆ แถมยังได้บริจาคช่วยการกุศลได้อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันยอดบริจาคของมูลนิธิ ALS ในสหรัฐ อยู่ที่ 15 ล้าน 6 แสนเหรียญแล้ว  ในต่างประเทศพิสูจน์ว่าทำได้จริงและมันเห็นผล  ในไทยก็เช่นเดียวกัน  


ที่มา : http://shows.voicetv.co.th/voice-market/114706.html
ภาพถ่าย : http://www.thairath.co.th/

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2557

10 ข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อโปรแกรมบัญชี


1. งบประมาณ ก่อนที่จะเริ่มต้นเลือกโปรแกรมบัญชี ต้องทำการจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายสำหรับโปรแกรม 
    และค่าใช้จ่ายในเรื่องของฮาร์ดแวร์
2. ก่อนที่จะซื้อโปรแกรมต้องสำรวจความต้องการธุรกิจ ด้วยการเรียงลำดับความสำคัญของงานที่ต้องการ
   โปรแกรมที่เลือก   ต้องรองรับความต้องการที่เรียงลำดับไว้ 70-80 % โดยเปิดโอกาสให้ทีมงานที่เกี่ยวข้อง
   ได้มีส่วนร่วมในการสรรหา มิใช่มุ่งเน้นไปที่ฝ่ายบัญชีฝ่ายเดียว
3. เลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ  มีประสบการณ์ มีลูกค้าอ้างอิงที่สามารถโทรไปสอบถามถึงการใช้งานของ
   บริษัทเหล่านั้นได้ ซึ่งทำให้เราได้ข้อมูลจริงจากผู้ใช้
4. ใช้งานง่าย โปรแกรมที่ดีต้องใช้งานง่าย มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนความต้องการขั้นพื้นฐานโดยไม่    
    ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์ ก่อนตัดสินใจซื้อโปรแกรมควรได้ทดลองใช้งานโปรแกรมก่อนเพื่อการประกอบการ
    ตัดสินใจว่ามีความเหมาะสมต่อองค์กรและง่ายต่อการใช้งานมากน้อยแค่ไหน
5. ความเสถียรของโปรแกรม ความเสถียรของโปรแกรมเป็นสิ่งสำคัญมากยิ่งนานวันปริมาณข้อมูลมากขึ้น 
    ส่งผลโดยตรงกับโปรแกรม มีขีดความสามารถที่จะรองรับได้หรือไม่ รวมถึงความเร็วในการประมวลผล
6. เป็นโปรแกรมตามมาตรฐานกรมสรรพากร
7. สามารถแก้ไขปัญหาและอัพเดทโปรแกรมได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดปัญหาการใช้งาน
8. รองรับธุรกิจในอนาคตหรือการขยายกิจการ ในอนาคตบริษัทอาจมีการขยายสาขาหรือมีปริมาณข้อมูลที่เพิ่ม
    มากขึ้นโปรแกรมที่จะซื้อสามารถรองรับการขยายได้มากน้อยแค่ไหน 
9. ตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม โปรแกรมต้องสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข
    Feature ต่างๆ ในอนาคต ซึ่งก็จะสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับองค์กรมาพัฒนาเพิ่มเติม
    เพื่อประสิทธิภาพของโปรแกรมและประสิทธิภาพขององค์กรได้มากขึ้น
10. มีบริการหลังการขาย ช่วยเหลือผู้ใช้งานในกรณีที่เกิดปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม




วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

Trick เล็กๆ การมองหาคน

“ใครๆ ก็อยากได้แต่..คนเก่ง” คำนี้ที่นักสรรหาต้องการ แต่เราจะทำยังไงให้ได้คนเก่ง คำว่า “อยากได้คน กับจะหาได้อย่างไร” นักสรรหาต้องตีโจทย์ให้แตกและค้นหา
“ เลือดใหม่  ไม่น่าสนใจหรือ “ เลือดใหม่หรือที่เรารู้จักกันดีสำหรับเด็กจบใหม่ บางครั้งเรามักได้ยินผู้บริหารพูดเสมอว่า “เราต้องการเลือดใหม่เข้ามาบ้าง” แสดงว่าองค์กรของคุณเริ่มมีปัญหา บางทีจากการทำงานแบบเดิมๆ คุณต้องการพนักงานใหม่ที่จะมาดูแลปัญหาด้วยมุมมองใหม่และทันสมัยสร้างสรรค์ บางครั้งหากเราเปิดโอกาสยอมรับมุมมองใหม่ๆ จากเด็กๆ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงาน แต่นักสรรหาต้องพิจารณาว่าเราควรนำเด็กใหม่มาทำงานในตำแหน่งใดบ้างที่เหมาะสม เช่น ตำแหน่งนักออกแบบ หรือตำแหน่งที่ต้องใช้จินตนาการ ฯลฯ เพราะเด็กจบใหม่ไฟแรง
แต่ผู้สมัครภายในก็มักเป็นคำตอบที่ดีสำหรับการหาผู้ร่วมงาน ที่เราต้องการแบบผสมผสานระหว่างแนวความคิดใหม่ๆ กับความรู้เกี่ยวกับบริษัทที่มีอยู่ โดยการพิจารณาต่อยอดจากเพื่อนร่วมงานของเราที่จะบอกว่า เรามีคนเก่งที่มีคุณภาพที่องค์การต้องการ จำไว้ว่าจะต้องแสดงความยินดีกับเขาเมื่อได้รายชื่อที่เสนอเข้ามาพิจารณา
ท้ายที่สุด ถ้าคุณกำลังมองหาความคิดใหม่ๆ และวิธีคิดใหม่ๆ จากภายนอกองค์กรหรือคลื่นลูกใหม่ คุณอาจจะต้องประเมินดูว่าวัฒนธรรมองค์กรของคุณส่งเสริมความคิดใหม่ๆ และพร้อมเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หากพนักงานถูกติเตียนทุกครั้งที่เสนอความคิดใหม่ๆ เขาก็จะรู้ว่าความคิดใหม่ๆ นั้นไม่มีค่า มองกลับไปในองค์กรและดูว่าคุณตอบสนองต่อความคิดใหม่ๆ อย่างไร ก่อนจะคิดว่าคุณต้องการ “เลือดใหม่” เพราะบางทีเลือดเก่าอาจจะมีชีวิตชีวา และสดชื่น ถ้าคุณอนุญาตให้ความคิดใหม่ๆ ผลิบาน

อ่านข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.doublepine.co.th
เขียนโดย ณภัทร  ประสพบุญ

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รายงานที่ดีมีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร

เรื่องโดย ธนิษฐา บัวผัน

การประกอบธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจซื้อมาขายไป ธุรกิจบริการ หรือธุรกิจผลิตสินค้า แต่ละแผนก แต่หน่วยงาน มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำรายงานเพื่อนำเสนอต่อผู้บริหาร ซึ่งรายงานที่ดีและมีประสิทธิภาพควรจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. เข้าใจง่าย    ผู้จัดทำการรายงานต้องมีความเข้าใจในรายงานที่จัดทำว่าใครเป็นผู้ใช้รายงานนี้ รายงานต้องการนำเสนออะไร  เพื่อให้การนำเสนอตรงประเด็น ผู้อ่านสามารถเข้าใจในรายงานที่นำเสนอโดยใช้เวลาไม่มากนัก ซึ่งการนำเสนออาจจะอยู่ในรูปแบบของช่องตาราง หรือกราฟเพื่อง่ายต่อการเข้าใจ
2. รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์    รายงานบางชนิด ต้องจัดทำอย่างสม่ำเสมอในทุกสิ้นวัน เช่น รายงานสรุปการรับ-จ่ายประจำวัน รายงานการขายสินค้าเงินสด รายงานการเก็บเงินจากลูกหนี้ ซึ่งรายงานดังกล่าวต้องจัดทำในทุกสิ้นวัน เพื่อให้ผู้บริหารนำข้อมูลของมาใช้เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที ในเวลาที่ต้องการใช้


3. มีความครบถ้วนสมบูรณ์ สามารถค้นหาต้นตอได้     การนำเสนอรายงานต่างๆ อาจจะต้องแสดงรายละเอียดย่อยประกอบ เมื่อมีข้อสงสัยใดในรายงานสามารถตรวจสอบอ้างอิงกลับได้ มีแหล่งที่ไปที่มาที่น่าเชื่อถือ อันจะนำมาซึ่งความครบถ้วนสมบูรณ์ในรายงานนั้น ๆ
4. จัดทำด้วยข้อเท็จจริง    ยกตัวอย่างกรณีการจัดทำประมาณการทางการเงิน ข้อมูลที่นำมาประมาณการอาจต้องอาศัยข้อมูลในอดีตกับแนวโน้มที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อมาจัดทำประมาณการนั้น ๆ
5. สามารถเปรียบเทียบได้    การจัดทำรายงานที่ดี ไม่เพียงแต่นำเสนอข้อมูลเฉพาะข้อมูลเดือนปัจจุบันเท่านั้น แต่ควรจะแสดงในรูปแบบของการเปรียบเทียบข้อมูล เช่น เปรียบเทียบเดือนก่อนกับเดือนปัจจุบัน  เปรียบเทียบปีก่อนกับปีปัจจุบัน
6. จัดทำอย่างสม่ำเสมอ     การจัดทำรายงานต้องเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ตามประเภทของรายงานที่จัดทำ เช่น รายงานประจำวัน ประจำเดือน หรือประจำปี 

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

คิดเร็ว...ปฏิรูปการทำงานให้ทันใจ

ซอฟต์แวร์บริหารกลยุทธ์
Double Pine Software


                    ความเร็ว  แม้จะเป็นเพียงการเคลื่อนที่โดยปราศจากจุดหมายปลายทางในใจ ย่อมมีความรีบร้อนหุนหันพลันแล่น ซึ่งปราศจากการควบคุมที่ดีแล้ว ความเร็วอาจนำไปสู่มหัตภัยได้ แต่หากมีการวางแผนที่ดีแล้ว การออกสตาร์ทเร็วกว่าจะสามารถช่วยให้คุณชนะการแข่งขันได้ดีแค่ไหน ข้อคิดง่ายๆในหลัก 60 วินาทีมีค่า
  1. ถ้าคุณต้องการเข้าสู่ตลาดให้ได้อย่างรวดเร็ว ต้องทำทุกอย่างให้ง่ายเข้าไว้
  2. ลดกระบวนการทำงานที่ไม่จำเป็นออกไป
  3. อย่ารวมงานไว้ที่ศูนย์กลาง หรือคนๆเดียว กระจายงานออกไปให้สู่คนที่ต้องรับผิดชอบ
  4. หาสูตรที่เรียบง่าย และทำตามกฎนั้นเสมอ แต่ละครั้งต้องทำให้เร็วขึ้นทีละเล็กละน้อย
  5. กำหนดให้นวัตกรรมเป็นนโยบายหลักของบริษัท
  6. ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ อย่ารอให้ผู้บริหารเป็นผู้สร้างไอเดียใหม่อยู่คนเดียว
  7. หาคนคิดเร็วทำงานเร็วมาทำงานด้วย  รักษา และเพิ่มจำนวนคนคิดเร็วไว้ คนแบบนี้ชอบทำงานด้วยกัน
  8. มองหาสัญญาณอันตราย และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้เสมอ
เพื่อให้การตัดสินใจเกิดขึ้นอย่ารวดเร็วฉับไว และถูกต้องจะต้องทำ ณ จุดที่ใกล้กับปฏิบัติการจริงให้ได้มากที่สุด ถ้าทุกคนภายในองค์กรรู้ และทำการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วตามแนวทางอย่างเดียวกัน การตัดสินใจส่วนใหญ่มักจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

รับข่าวสารข้อมูลด้านการทำกลยุทธ์ และโปรแกรมการทำ KPI เพิ่มเติมได้ที่ www.doublepine.co.th 

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

บริการแบบไหนที่เรียกว่ามืออาชีพ

โดย ชุลีพร พรหมภักดี

ปกติในชีวิตประจำวันเราเป็นทั้งผู้ให้บริการ และผู้รับบริการอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะไปซื้อสินค้า เติมน้ำมัน หรือแม้กระทั่งการทำงานในสายอาชีพของตนเอง เราย่อมควาดหวังว่าจะได้รับบริการที่ดี ได้รับการเอาใจใส่ และแน่นอนว่าทุกคนอยากเป็นคนสำคัญ เพราะฉะนั้น มาเริ่มต้นเป็นผู้ให้บริการแบบ "มืออาชีพ" กันดีกว่า เพราะยิ่งเอาใจใส่ลูกค้ามากเท่าไร ลูกค้าก็อยากใช้บริการมากเท่านั้น มาดูกันว่างานบริการลูกค้าแบบ มืออาชีพ” ต้องทำอย่างไร
  •  สนองตอบความต้องการของลูกค้าให้เร็วที่สุด   เมื่อลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ ควรสนองตอบความต้องการของลูกค้าให้เร็วที่สุดไม่ทางใดทางหนึ่ง เช่น อีเมล หรือโทรศัพท์ คุณอาจไม่จำเป็นต้องหาคำตอบมาให้ลูกค้าในทันทีก็ได้ อย่างน้อยควรตอบให้ลูกค้าทราบว่า รับทราบเรื่องแล้ว และจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด เท่านี้ก็ได้ใจลูกค้าแล้ว
  •  หมั่นอัพเดทความเคลื่อนไหวอยู่เสมอ    หากลูกค้ากำลังรอสินค้าหรือรับบริการจากอยู่ ควรมีการอัพเดทความเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ให้ลูกค้าได้ทราบถึงขั้นตอน และกระบวนการ เพื่อให้ลูกค้าสบายใจ และลดความกระวนกระวายใจในการรอคอย หากเกิดปัญหาขัดข้องใด ๆ ก็ควรแจ้งให้ลูกค้าทราบเหตุผลของการล่าช้า รวมถึงวิธีการที่ใช้ในแก้ปัญหาเพื่อให้ลูกค้าสบายใจว่าสามารถจัดการกับปัญหาดังกล่าวได้
  • ช่วยเหลือลูกค้าอย่างเต็มที่ อย่ากลัวว่าจะไม่ได้รับผลตอบแทน    การช่วยเหลือลูกค้าอย่างสุดความสามารถนั้น บางครั้งอาจทำให้เสียเวลา และดูเหมือนไม่คุ้มค่า ไม่ได้รับผลตอบแทนในทันที แต่สิ่งที่ทำสามารถส่งผลในระยะยาวและยั่งยืนได้ เพราะการบริการที่ดี อาจทำให้ลูกค้าติดใจละอยากจะใช้บริการของคุณตลอดไป รวมทั้งอิทธิพลของการแนะนำแบบปากต่อปากที่อาจส่งผลดีเกินคาดอีกด้วย
  • ยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาด  หนทางที่จะทำให้เสียลูกค้าได้ง่ายที่สุดคือ การไม่ยอมรับข้อผิดพลาดของ ไม่ว่าใครก็ผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ควรยืดอกยอมรับ และแก้ไขความผิดพลาดนั้นอย่างมืออาชีพ แสดงให้ลูกค้าเห็นว่า เขาจะไม่ผิดหวังเมื่อใช้บริการกับผู้ให้บริการที่มีคุณภาพ
  •  เข้าใจความต้องการของลูกค้า   วิธีพิสูจน์ความพึงพอใจที่ง่ายที่สุดคือ การสมมุติว่าเป็นลูกค้า และได้รับการปฏิบัติในแบบเดียวกับที่กำลังทำอยู่ คุณพึงพอใจกับสิ่งที่ได้รับมากน้อยเพียงใด ถ้าพอใจ แสดงว่าคุณมาถูกทางแล้ว ถ้าไม่พอใจ คุณต้องการให้ผู้ให้บริการปรับปรุงในจุดใด นั่นแหละคือสิ่งที่คุณควรปรับปรุง เพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุด
แต่เหนือสิ่งอื่นใดการให้บริการลูกค้าคือการเอาใจเขา มาใส่ใจเรา นั่นคือการให้บริการที่ดีที่สุด

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

หมัดเด็ด 5 ข้อมัดใจคนทำงาน



หมัดเด็ด 5 ข้อมัดใจคนทำงาน
                                                      โดย คุณศฤณญา  แม้นเหมือน
             ไม่มีอะไรที่สร้างความขุ่นเคืองแก่คนที่กำลังประสบปัญหาได้มากไปกว่าการถูกปฏิเสธ โดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม ควรต้องสื่อสารกับพวกเขาด้วยวิธีที่ก่อให้เกิดเป็นความไว้วางใจ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เพราะพนักงานคือจุดเชื่อมโยงระหว่างปรัชญาขององค์กร ที่มุ่งสนองความต้องการของลูกค้า และความภักดีของลูกค้าที่จะทำให้องค์กรมีกำไรมากขึ้น ซึ่งมักนำไปสู่ผลตอบแทนของพนักงานที่มากขึ้นด้วย การจูงใจให้พนักงานทำงานกับองค์กรได้อย่างยั่งยืน เป็นสิ่งที่องค์กรต้องหาหมัดเด็ดในการรักษาพนักงานให้ได้ ให้บุคลากรนั้นอยู่กับเรานานๆ 
1.      เริ่มตั้งแต่การจัดสัมภาษณ์บุคลากร เป็นรายบุคคล เปิดโอกาสรับฟังความคิดเห็น ความรู้สึก ข้อขัดข้อง ข้อเสนอแนะ
2.     องค์กรต้องชี้แจ้งข้อขัดข้องให้กับพนักงานให้ได้ ที่สำคัญต้องนำข้อมูลที่ได้นั้นมาวิเคราะห์ เพื่อพัฒนาปรับปรุง
3.     ควรมีการพิจารณาโยกย้ายพนักงานโดยความสมัครใจให้ทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม และท้าทายมากยิ่งขึ้น
4.     ควรประเมินให้พนักงานมองเห็นคุณค่าในตนเอง เพื่อทราบว่าตนเองนั้นสามารถทำงานทดแทนตำแหน่งงานใดได้บ้าง และต้องพัฒนาในเรื่องใดบ้าง เพื่อมีโอกาสเติบโตในองค์กร
5.     สุดท้ายควรมีการพิจารณาค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับคุณค่า และภาระงาน ทำให้บุคลากรนั้นรับรู้ว่าองค์กรมีความยุติธรรม
จากที่กล่าวมาข้างต้นหากองค์กรใดเล็งเห็น และให้ความสำคัญกับคุณค่าของบุคลากร และมีระบบงานด้านบุคลากรตามรายละเอียดดังกล่าวแล้ว  องค์กรนั้นๆ ก็มักจะมีแต่บุคลากรที่มีคุณค่า มีความรู้ความสามารถที่จะทำให้งานบรรลุผลสัมฤทธิ์ สร้างความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรือง ได้ไม่ยาก ซึ่งถือเป็นการเพิ่มคุณค่าให้กับองค์กรได้อย่างมากมาย และยั่งยืน


วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

5 สิ่งที่จำเป็นในการพัฒนาบุคคลากร


Cr. by courses.wlv.ac.uk

5 สิ่งที่จำเป็นในการพัฒนาบุคคลากร
                                                                เขียนโดย คุณศฤณญา  แม้นเหมือน

บุคลากรแต่ละคนที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามามีคุณค่าพื้นฐานในตนเองแตกต่างกัน ซึ่งความรู้ความสามารถที่มีอาจจะยังไม่ถึงระดับที่ต้องการตามตำแหน่งงานนั้นๆ  การพัฒนา เพิ่มคุณค่า การสร้างทักษะใหม่ๆ ให้กับพนักงาน จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวหน้า พร้อมกับสร้างเส้นทางการเติบโต และความยั่งยืนให้กับพนักงาน 5 หมัดเด็ดในการพัฒนาคน
  • จำเป็นต้องจัดหลักสูตรอบรมเพื่อพัฒนาให้บุคลากรมีคุณค่า สามารถปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • การจะจัดอบรมให้เกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ต้องให้บุคลากรเล็งเห็นความสำคัญ และประโยชน์ที่จะได้รับ ว่าช่วยในการทำงานอย่างไร
  • ผลักดันให้มีการเข้าอบรม โดยจัดให้มี Lecture & On the job training สลับกันไป อย่างต่อเนื่อง
  •  มีการประเมิน และแจ้งผลการอบรมพัฒนา เพื่อให้เห็นความก้าวหน้าที่ได้รับ
  • นำผลที่ได้นั้นมาเป็นองค์ประกอบในการพิจารณาค่าตอบแทน ช่วยให้การพัฒนามีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายมากขึ้น
   บุคลากรที่ได้รับการอบรม พัฒนา มาอย่างต่อเนื่อง ย่อมมีคุณค่าในตนเองเพิ่มมากขึ้น ตามความรู้และประสบการณ์ องค์กรควรหาช่องทางรักษาบุคลากรไว้ให้ได้ การประเมินคุณค่าที่มีในตัวพนักงาน พัฒนาเพื่อให้สามารถดึงศักยภาพในตัวมาใช้ให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด จะสามารถทำกำไรให้กับองค์กร เพิ่มได้อีกมากเลยทีเดียว


วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

5 เทคนิคการหาคนให้ตรงใจ



5 เทคนิคการหาคนให้ตรงใจ
Credit by novarecruitment.co.uk
5 เทคนิคการหาคนให้ตรงใจ
                                                                               โดย คุณศฤณญา  แม้นเหมือน

   ลองจินตนาการว่าถ้าจะรับคนเข้าทำงานสักคนที่เข้ามาช่วยทำงานได้ เรียนรู้งานได้รวดเร็ว เข้ากับเพื่อนร่วมงาน  และวัฒนธรรมองค์กรได้ การคัดเลือกคนใหม่ๆเข้ามาทำงานต้องทำอย่างไร เพราะแต่ละคนมีคุณค่าแตกต่างกันไปตาม  การศึกษา ทักษะ ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในงานที่มีติดตัวมาแตกต่างกัน เราจะเลือกและสรรหาคนแบบ  ที่ต้องการได้อย่างไร 5 เทคนิคการหาคนทำงานให้ตรงใจ
  • ไม่ควรมองข้ามในคุณค่าพื้นฐานของผู้สมัครว่ามีอะไรมาบ้าง ตรงกับตำแหน่งงานที่ต้องการหรือไม่ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง
  • การประกาศรับสมัคร ควรมีการกำหนดคุณสมบัติตามตำแหน่งงานที่ชัดเจน
  • เลือกลงประกาศในแหล่งประกาศรับสมัครงานที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อคัดประวัติผู้มีคุณสมบัติตรงตามสายงานเพื่อนัดหมาย
  • มีระบบการทดสอบทั้งข้อเขียน และสอบสัมภาษณ์ในแต่ละตำแหน่งงาน จะช่วยคัดกรอง ให้เห็นผลชัดเจนมากยิ่งขึ้น ว่าสามารถทำงานในตำแหน่งที่ได้รับมอบหมายได้จริง
  • ที่สำคัญต้องตรวจสอบประวัติ และตอบรับบุคลากรที่มีคุณสมบัติตรงตามสายงานจริงๆ เพราะจะสามารถเรียนรู้ พัฒนาได้เร็ว ปฏิบัติงานตามหน้าที่ได้เร็ว ไม่เป็นภาระในการพัฒนามาก ก็จะเป็นการคัดเลือกคุณค่าบุคลากรที่ดีได้ตั้งแต่เริ่มต้น

   ถึงแม้ว่าเทคนิคนี้จะทำให้สรรหาคนทำงานได้ล่าช้า แต่คนที่ได้มาจะเป็นคนที่มีความสามารถ และช่วยทำงานให้เรา  ได้จริง เมื่อได้พนักงานที่ตรงใจ ตรงความต้องการมาแล้วอย่าลืมที่จะพัฒนา เพื่อรักษาให้อยู่กับเราไปนานๆ ด้วยนะคะ