วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

10 เครื่องมือวัดผลทางการตลาดออนไลน์ฟรี!ที่นักการตลาดไม่ควรพลาด (ตอน 1)


ถ้าเราลงทุนกับเรื่องการตลาดออนไลน์ไปอย่างมากแล้ว ใครจะไม่อยากได้ข้อมูล หรือไม่อยากรู้ว่าเงินที่ลงทุนไป แคมเปญไหนได้ผลกับผู้เข้าชมในสื่อออนไลน์ต่างๆ ซึ่งจุดเด่นของการทำตลาดออนไลน์ คือการเข้าถึงกลุ่มประชากรที่เราต้องการและสามารถ “วัดผลได้อย่างแม่นยำมากกว่าสื่ออื่นๆ” มาดูเครื่องมือที่นักการตลาดอย่างเราๆ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

1     .       Google Analytics (www.google.com/analytics)
ด้วยความสามารถในการวัดผลได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป้นกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามา (Audience) ช่องทางที่ลูกค้ามาหาเรา (Acquisition) พฤติกรรมของลูกค้า (Behavior) รวมไปถึงการวัดการขาย (Conversion) ว่าคนเข้ามาทางออนไลน์ซื้อสินค้าคุณหรือไม่
2     .       Facebook Insight (www.facebook.com/onsight)
เครื่องมือที่ทาง Facebook เปิดไว้ให้เป็นเครื่องมือเพื่อดูลูกค้าที่เข้ามาใน Facebook Pages ของเราได้อย่างเจาะลึก และดูพฤติกรรมว่าพวกเบาเหล่านี้เป็นใคร อายุเท่าไร มาจากที่ไหน และบอกถึงประสิทธิภาพของข้อความที่สื่อสารออไปว่าได้ผลมากน้อยเพียงใด
3     .       Twitter Analytics (http://analytics.twitter.com)
คนไทยอาจใช้ twitter น้อยกว่า Facebook แต่ต้องยอมรับว่าใน Twitter นั้นมีแต่คนดัง ดารา นักธุรกิจและแบรนด์ต่างๆเองก็เข้าไปใช้เป็นช่องทางสื่อสารกับผู้คนได้ไม่น้อย ซึ่งตัววัดของ Twitter นั้นจะวิเคราะห์ได้ว่าข้อมูลที่เราสื่อสารออกไปนั้นได้ผลมากน้อยแค่ไหน โดยเราสามารถดูได้ว่า ข้อความที่เราส่งไปมีคนกดแชร์ไปเท่าไร และสามารถเข้าถึงคนได้กี่คน
4     .       Bit.ly (www.bitly.com)
Bit.ly คือการนำเอาลิงค์ที่ต้องการสื่อสารกับลูกค้าทั้งจาก Facebook Twitter  Line ที่เป็นลิงค์ต่างๆ ไปย่อที่ www. Bitly.com ก่อน จึงจะทำให้เราสามารถติดตามได้ว่าผู้ที่สนใจมาจากช่องทาไหน แลมีคนคลิกกี่คน จากประเทศอะไร คลิกเมื่อไร เป็นการวัดผลว่าลิงค์ที่ส่งไปทางออนไลน์ได้ผลมากน้อยเพียงใด
5     .       Alexa (www.alexa.com)
เป็นเว็บไซต์ที่เก็บข้อมูลการท่องเว็บทั่วโลกไว้ ทำให้เราสามารถเทียบอันดับเว็บไซต์ของเรากับคู่แข่งได้ในเชิงปริมาณของคนเข้าเว็บไซต์ อันดับเว็บไซต์ของเราในระดับประเทศ และระดับโลก ส่วนใหญ่จะใช้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบ (Benchmark ) ของนักการตลาดอย่างเราๆ

ผ่านมา 5 เครื่องมือแล้ว อยากให้ได้ทดลองนำไปวัดผลของสื่อออนไลน์ของเรา เพื่อหาช่องทางที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้มากที่สุด เดี๋ยวกลับมาต่อในครั้งหน้าว่าอีก 5 เครื่องมือที่นักการตลาดออนไลน์ไม่ควรพลาดคืออะไร...

เรียบเรียงข้อมูลโดย ต้นสนคู่
ที่มา นิตยสาร Brandage/e-frastructure โดย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ


วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

3 องค์ประกอบทำงานคู่ Software


 โปรแกรมสำเร็จรูปด้านการบริหารจัดการระบบงาน นับเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินงานขององค์กรยุคปัจจุบันที่มีความสลับซับซ้อนทั้งในส่วนกระบวนการจัดการ การผลิต การขาย การขนส่งกระจายสินค้า การบริหารข้อมูล และการวางระบบและควบคุมด้านบัญชี-การเงิน โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจใน 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่


·       ความรู้ความเข้าใจในระบบงานภายใน ที่โดยทั่วไปจำเป็นต้องลงลึกถึงระดับของการออกแบบระบบงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
·       ความรู้ความเข้าใจในส่วนของโปรแกรมสำเร็จรูปประเภทต่างๆ คุณภาพของโปรแกรม กรอบในเรื่องของงบประมาณ ประสบการณ์ และความน่าเชื่อถือของผู้จำหน่าย ตลอดจนการให้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย
·       การอัพเดทความรู้ความเข้าใจ ผลกระทบหรือปัจจัยภายนอกที่จะมีผลต่อองค์กร และต่อการใช้งานโปรแกรมในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น ทั้งในแง่ของกระบวนการผลิตที่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีที่พัฒนาไปข้างหน้า นโยบายการบริหารสต็อก นโยบายการเงิน แนวทางการตลาดและการขาย การออกผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ รวมถึงประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจอย่างยิ่งในปัจจุบัน อย่างผลกระทบ มาตรฐานบัญชีและมาตรฐานรายงานทางการเงินใหม่ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลกระทบต่อองค์กรต่างๆ อย่างกว้างขวาง

          การใช้งานโปรแกรมสำเร็จรูปในปัจจุบันได้มีการนำมาใช้งานในกิจการต่างๆ กันอย่างกว้างขวางแล้ว แต่ก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตและขยายตัวไปสู่ภาคธุรกิจและองค์กรขนาดต่างๆ เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในส่วนการพิจารณาเลือกใช้โปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับองค์กรต่างๆ หรือแม้แต่การปรับปรุงพัฒนาในสิ่งที่มีอยู่ มีปัจจัยที่ต้องเตรียมความพร้อมหลายด้าน ทั้งในด้านการแสวงหาข้อมูลทั้งจากภายในและภายนอก ตลอดจนการสรรหาโปรแกรม และผู้ให้บริการที่ตรงกับความต้องการขององค์กร ซึ่งปัจจุบันก็มีผู้จำหน่ายที่มีความชำนาญและมีศักยภาพในการให้บริการอยู่เป็นจำนวนมากที่จะเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการ ตัดสินใจเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตอบโจทย์ขององค์กรได้อย่างดีที่สุด


เขียนโดย สุขะวัฒ แซ่โง้ว (SG)


วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ศิลปของการมอบหมายงาน

ศิลปของการมอบหมายงาน ผู้บังคับบัญชาจะสามารถมอบหมายงานให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติ จะต้องมีศิลปของการมอบหมายงานโดยจะต้องพยายามทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นศิลปของการมอบหมายงานของผู้บังคับบัญชาแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับทัศนคติส่วนบุคคล (Personel Attitudes) ของผู้บังคับบัญชาเอง อันได้แก่
    - ยอมรับความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชาเพียงใด
    - เต็มใจที่จะมอบหมายอำนาจในการตัดสินใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเพียงใด
    - เต็มใจที่จะเปิดโอกาสให้บุคคลอื่นกระทำความผิดได้
    - เต็มใจที่จะกำหนดขอบเขต ความรับผิดชอบและมีการควบคุมงานที่เหมาะสม

ประโยชน์ของการมอบหมายงาน จะก่อให้เกิดประโยชน์ 3 ประการใหญ่ๆ ดังนี้
     1. ช่วยลดภาระของผู้บริหารระดับสูง
     2. ช่วยในการพัฒนาผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
     3. เป็นการสร้างขวัญที่ดีให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน


ขนาดของการมอบหมายงาน การที่ผู้บังคับบัญชาจะมีความเต็มใจที่จะมอบหมายอำนาจหน้าที่ในการทำงานมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย เหล่านี้ คือ
     1. สภาพบรรยากาศ    หรือวัฒนธรรมขององค์การถ้าองค์การถือวิธีปฏิบัติงานในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยมักมีการมอบหมาย
งานให้ผู้ที่ทำงานระดับต่ำได้มีโอกาสตัดสินใจด้วยตนเองมาก ตรงข้ามกับองค์การที่ใช้วิธีการควบคุมอย่างมากจะมีการจำกัดการตัดสินใจไว้ที่ผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น
     2. ลักษณะของงานที่ทำ   งานบางอย่างที่ค่อนข้างยากและมีความสำคัญที่ต้องใช้ความรอบคอบ หรืองานบางอย่าง ถ้ามีการตัดสินใจที่ผิดพลาดแล้วจะก่อความเสียหายมหาศาลให้แก่กิจการนั้นผู้บริหารจะสงวนไว้ตัดสินใจเอง แต่หากงานนั้นมีลักษณะค่อนข้างง่าย เหมาะสมที่ผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำแทนได้ ผู้บริหารก็จะมอบหมายให้บุคคลอื่นทำแทนได้
     3. ลักษณะพฤติกรรมของผู้บริหาร   กรณีผู้บริหารเป็นบุคคลที่มีแนวความคิดสมัยใหม่ หรือสมัยเก่า ถ้าเป็นผู้บริหารสมัยเก่า การปฏิบัติงานจะยึดหลักของการรวมอำนาจ (Centralization)คือจะยึดถือแนวความคิดของตนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ผู้บริหารสมัยใหม่จะใช้หลักของการกระจายอำนาจ(Decentralization) คือผู้บริหารมีความเต็มใจที่จะยอมมอบอำนาจให้ผู้อื่นกระทำผิดได้บ้าง และเป็นผู้บริหารที่ใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของบุคคลอื่นได้บ้าง

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ยืดอายุ Notebook ให้อยู่นาน


>> ใช้งานโน้ตบุ๊กให้ถูกสถานที่
       โน้ตบุ๊กควรใช้ในสถานที่ที่มีการถ่ายเทของอากาศที่ไหลเวียนได้สะดวก และการวางโน้ตบุ๊กไม่ควรวางบนพื้นที่มีความนุ่ม เพราะจะทำให้ไปปิดบังช่องระบายความร้อนใต้เครื่องได้ มีผู้ใช้บางกลุ่มนิยมนำโน้ตบุ๊กไปใช้บนที่นอน ซึ่งไม่ควรทำ เพราะที่นอน มีความนุ่มเวลาวางโน้ตบุ๊กลงไป พื้นด้านล่างจะแนบชิดไปกับที่นอนทั้งหมด ไม่มีช่องระบายความร้อน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ โน้ตบุ๊กเกิดความร้อนสูง จนแฮงค์และไม่สามารถใช้งานได้ต่อไป นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยง การใช้โน้ตบุ๊กในบริเวณที่มีฝนตก หรือมีความชื้นสูงๆ เพราะจะส่งผลต่อ อุปกรณ์ต่างๆ ภายใน
>> การทำความสะอาดโน้ตบุ๊ก
      การทำความสะอาดควรใช้ผ้าแห้งเช็ดทำความสะอาดโดยรอบตัวเครื่อง ยกเว้นจอภาพที่ควรจะใช้ผ้าหรือวัสดุที่ออกแบบมา เป็นพิเศษ จัดการทำความสะอาด ส่วนตรงคีย์บอร์ดที่มักจะมีฝุ่น หรือเศษผงติดเข้าไปด้านใน ไม่ควรใช้วิธีการเป่า แต่ควร ใช้วิธีการดูด อาจจะดูดด้วยเครื่องดูดฝุ่นเพื่อช่วยทำความสะอาดก็ได้เช่นกัน
>> หลีกเหลี่ยงไม่ให้โดนกระแทก
     เวลาพกพาโน้ตบุ๊กไปใช้งานตามที่ต่างๆ ควรจะมีการระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะหากเกิดไปกระแทกกับวัสดุอื่นๆ แล้วจะเกิดการ เสียหายที่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจอภาพที่มีความบอบบางเป็นพิเศษ ทุกครั้งก่อนนำไปใช้งาน ควรนำใส่กระเป๋า ที่ออกแบบมาเพื่อใส่โน้ตบุ๊กโดยเฉพาะเพราะด้านในจะมีการบุ ด้วยวัสดุกันกระแทก เวลาเกิดไปกระแทกโดย ไม่ตั้งใจ วัสดุเหล่านั้นจะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
>> อ่านคู่มือก่อนการใช้งาน
      ก่อนการใช้งานทุกครั้ง ผู้ใช้ควรทำความรู้จักโน้ตบุ๊กที่กำลังจะใช้งานให้มากที่สุด ด้วยการอ่านคู่มือ และคำแนะนำต่างๆ เพื่อการใช้งาน ได้อย่างถูกต้อง และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในระยะยาว ปกติแล้วคู่มือจะแจ้งรายละเอียดของอุปกรณ์ทุกๆ อย่าง ตำแหน่งของพอร์ต และอุปกรณ์ คำเตือนและคำแนะนำต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ รวมถึงเบอร์โทรสำหรับติดต่อ สอบถามเมื่อโน้ตบุ๊ก เกิดปัญหา
——————————————————————————–
:: การแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ::
>> เปิดเครื่องไม่ติด
      เริ่มต้นจากการตรวจสอบไฟแสดงสถานะเปิดเครื่องก่อนว่าติดหรือไม่ จากนั้นให้ดูว่าแบตเตอรี่เหลือน้อย หรือหมดแล้วหรือยัง แล้วจึงเสียบปลั๊ก แล้วลองกดปุ่มเปิดใช้งาน ถ้ากดปุ่มเปิดแล้วยังไม่ติด ให้ลองดูว่าคุณเสียบปลั๊กทุกๆ จุดดีแล้วหรือยัง ทั้งที่โน้ตบุ๊ก และช่องเสียบปลั๊กไฟ ถ้าตรวจสอบทั้งหมดแล้ว ยังเปิดไม่ติดให้รีบติดต่อไปยังศูนย์บริการทันที
>> จอภาพมีจุดสีสว่าง
      จอภาพโน้ตบุ๊กอาจจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Dead Pixel หรือ Bright Dot ขึ้น อันเนื่องมาจากข้อผิดพลาด ในกระบวนการ ผลิตจอแอลซีดี ซึ่งเมื่อเกิดแล้ว คุณควรจะตรวจสอบก่อนว่ามีจำนวนจุดสีที่ผิดปกตินี้กี่จุด แล้วให้ติดต่อศูนย์บริการว่า สามารถ เปลี่ยนหรือแก้ไขได้หรือไม่ ปกติแล้วจะมีข้อกำหนดเอาไว้ว่า หากมี Dead Pixels จำนวนกี่จุด ถึงจะเปลี่ยนได้ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 5 จุดขึ้นไป ดังนั้นหากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ควรจะสำรวจจอแอลซีดีก่อนรับเครื่องทุก ครั้งครับ
>> จอภาพแสดงตัวอักษรเบลอ
      เกิดมาจากการปรับความละเอียดของจอแอลซีดีไม่ตรงตามสเปกที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นข้อจำกัดของจอแอลซีดีที่เราต้องปรับ ความละเอียดให้ตรง เพราะว่าจอแอลซีดีจะระบุจำนวนพิกเซลที่เอาไว้แสดงทั้งแนวตั้งและแนวนอนเอา ไว้ หากปรับไม่ตรง จอภาพ จะต้องมีการนำจุดสีหลายๆ จุดมาแสดงเป็นจุดเดียว ทำให้ภาพเกิดความเบลอ ปกติแล้วทั่วๆ ไปจะปรับตั้งกันไว้ที่ 1024×768 พิกเซล สามารถเข้าไปปรับได้ที่ Start => Settings => Control Panel => Display คลิ้กที่แถบ Settings แล้วเลือกปรับความ ละเอียดได้เลยครับ
>> ตัวอักษรที่แสดงมีขนาดเล็กเกินไป
       จากข้อจำกัดในการปรับความละเอียด ทำให้บางครั้งตัวอักษรที่แสดงเล็กเกินไป จะมีปัญหากับผู้ที่สายตาสั้นเป็นส่วนใหญ่ แต่ใน Windows เราสามารถปรับขนาดตัวอักษรให้ใหญ่ได้ครับเข้าไปที่ Start => Settings => Control Panel => Display คลิ้กที่แถบ Appearance แล้วปรับขนาดที่ Font ด้านล่าง ให้เป็น Large Fonts หรือ Extra Large Fonts
>> ต่อโน้ตบุ๊กเข้ากับทีวี แล้วไม่มีภาพ
       ก่อนจะไปปรับให้แสดงภาพไปยังทีวี ผู้ใช้ควรเชื่อมต่อสายระหว่างทีวีกับ S-Video พอร์ต หรือ HDMI พอร์ตเสียก่อน แล้วค่อยเปิดโน้ตบุ๊ก จากนั้นก็ไปปรับให้แสดงผลได้ใน Display Properties
>> ลำโพงไม่มีเสียง
      ให้เข้าไปตรวจสอบว่าได้ไปปิดเสียงเอาไว้หรือเปล่า อาจจะกดปุ่มเปิดเสียงจากคีย์บอร์ด หรือว่าเข้าไปที่ Start => Settings => Control Panel => Sound and Audio Devices ตรงส่วนของ Devices Volume นั้นจะต้องไม่มีเครื่องหมายถูกที่หน้า Mute ถ้ามีให้คลิ้กเพื่อเอาออก ในบางกรณีอาจจะเกิดจากการหลงลืมของผู้ใช้เอง บางครั้งอาจจะเสียบหูฟังคาเอาไว้ หรือว่า เสียบแจ็คลำโพงภายนอกอยู่ ทำให้ไม่มีเสียงออกมาที่ลำโพงของตัวโน้ตบุ๊ก ก็คงต้องบอกว่าตรวจสอบให้ดีก่อนนะครับ
>> เครื่องหยุดทำงาน (แฮงค์) บ่อยมากๆ
     ปกติอาการเครื่องแฮงค์มักจะมาจากเรื่องของความร้อน เพราะถ้าร้อนมากๆ ซีพียูและอุปกรณ์ต่างๆ มักจะหยุดการทำงาน ตรงจุดนี้เอง อาจจะมาจากการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง เช่น การวางโน้ตบุ๊กในที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก การวางโน้ตบุ๊กในตำแหน่ง ที่มีการปิดบังช่องระบายความร้อน เป็นต้น
      นอกจากนี้อาจจะมีจากความผิดปกติของระบบปฏิบัติการที่ใช้อยู่ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งคงต้องตรวจสอบไปทีละอุปกรณ์ หรือถ้าไม่มี ความรู้ในการตรวจสอบสามารถเลือกที่จะนำไปรับบริการที่ศูนย์บริการได้
>> เครื่องทำงานช้า
     ปกติเมื่อเราใช้งานไปสักระยะเครื่องมักจะทำงานช้าลง เพราะว่าเราได้ติดตั้งโปรแกรมต่างๆ หรือมีการบันทึกไฟล์ต่างๆ เข้าไปเป็นจำนวนมาก เวลาเรียกเพื่อเปิดใช้งานจะต้องใช้เวลาค้นหาเพื่อเปิดอ่านข้อมูลที่นานขึ้น เพราะไฟล์ต่างๆ อาจจะมีการ จัดเก็บที่ค่อนข้างกระจัดกระจาย การจัดเรียงข้อมูลต่างๆ ให้เป็นระเบียบจะช่วยให้การใช้งานในส่วนต่างๆ ทำได้เร็วขึ้น ซึ่งก็คือการ Defragment นั่นเอง ให้เข้าไปที่ Start => Programs => Accessories => System Tools => Disk Defragmenter แล้วจัดการเรียงข้อมูลต่างๆ ให้เรียบร้อย..

        นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้เครื่องทำงานได้ช้า ก็อาจจะมาจากการที่ผู้ใช้เครื่องติดตั้งโอเอส หรือโปรแกรมใหม่ๆ ที่โน้ตบุ๊ก ไม่สามารถรองรับได้ ทำให้การทำงานต่างๆ ช้าไปหมด อาจจะแก้ปัญหาด้วยการซื้อเครื่องใหม่ หรือว่าจะอัพเกรดอุปกรณ์บางอย่าง เช่น ซีพียู หน่วยความจำ หรือฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วสูงขึ้น

By Author: Yack Junior
ที่มา: http://thaitipcom.blogspot.com/2009/07/tip-notebook.html