วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2558

วันออกพรรษาสำคัญอย่างไร ?



วันออกพรรษา

วันออกพรรษา คือ วันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษาเป็นเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันเข้าพรรษา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันมหาปวารณา" คำว่า "ปวารณา" แปลว่า "อนุญาต" หรือ "ยอมให้" ในวันออกพรรษานี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรมใหญ่ เรียกว่า มหาปวารณา เป็นการเปิดโอกาสให้ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ เพราะในระหว่างเข้าพรรษา พระสงฆ์บางรูปอาจมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไข การให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ ทำให้ได้รู้ข้อบกพร่องของตน และยังเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกันด้วย

เมื่อถึงวันออกพรรษา พุทธศาสนิกชนถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเข้าวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลแก่พระสงฆ์ที่ตั้งใจจำพรรษาและตั้งใจปฏิบัติธรรมมาตลอดจนครบไตรมาสพรรษากาลในวันนี้ และวันถัดจากวันออกพรรษา 1 วัน (แรม 1 ค่ำ เดือน 11) พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยยังนิยมไปทำบุญตักบาตรครั้งใหญ่ เรียกว่า ตักบาตรเทโว หรือ ตักบาตรเทโวโรหณะ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติที่กล่าวว่า ในวันถัดวันออกพรรษาหนึ่งวัน พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในพรรษาที่ 7 เพื่อลงมายังเมืองสังกัสสนครพร้อมกับทรงแสดงโลกวิวรณปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้งสามด้วย

นอกจากนี้ ช่วงเวลาออกพรรษาตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ถึง วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ถือเป็นเวลากฐินกาลตามพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นช่วงเวลาที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยจะเข้าร่วมบำเพ็ญกุศลเนื่องในงานกฐินประจำปีในวัดต่าง ๆ ด้วย โดยถือว่าเป็นงานบำเพ็ญกุศลที่ได้บุญกุศลมากงานหนึ่ง

บทความจาก: th.wikipedia.org
รูปภาพจาก: http://hilight.kapook.com/view/26828
เรียบเรียงโดย: ต้นสนคู่
www.doublepine.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สมเด็จพระปิยมหาราช


สมเด็จพระปิยมหาราช 
พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชา เป็นที่รักยิ่งของประชาชน ทรงนำประเทศชาติรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้น ของประเทศมหาอำนาจหลายครั้ง จนประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่รอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น ทรงปรับปรุงประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ทัดเทียมอารยะประเทศ ทรงโปรดให้เลิกทาส ให้มีการรถไฟ การไปรษณีย์ การไฟฟ้าและการประปาขึ้นเป็นครั้งแรก.



เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระปิยมหาราช 23 ตุลาคม 2558 ของทุกปี ขอน้อมถวายราชสดุดี ร่วมรำลึกถึงพระราชกรณียกิจต่างๆ และพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ทรงได้ทำเพื่อพสกนิกรชาวไทย ทำให้ปวงชนชาวไทยได้อยู่เย็นเป็นสุขมาจนถึงทุกวันนี้

ทรงปกป้องทั่วทั้ง                   แผ่นดิน
สยามมิสูญสิ้น                        อยู่ได้
ชาวไทยต่างนึกคิด                  ระลึก  ถึงท่าน
เราต่างยังคงไว้                       อย่าได้  ลืมเลือน

บทความจาก: www.baanjomyut.com
รูปภาพจาก: http://m.dmc.tv/pages
เรียบเรียงโดยต้นสนคู่
www.doublepine.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

จุดเริ่มต้น.. เทศกาลกินเจ


จุดเริ่มต้น.. เทศกาลกินเจ

เทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 400 ปีมาแล้วในประเทศจีน ตามตำนานระบุว่า เกิดขึ้นในสมัยที่ชาวจีนถูกแมนจูเข้ามาปกครอง และบังคับชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน
สมัยนั้นเองมีคนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้าร่วมด้วย
ชาวจีนกลุ่มนี้นุ่งขาว ห่มขาว และไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ตามความเชื่อว่า การประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับตนเองได้
คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า หงี่หั่วท้วง แต่ท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อแมนจู และพลีชีพไปจำนวนมาก
ทุกวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของแมนจู จึงพร้อมใจกันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึง หงี่หั่วท้วง
นอกจากนั้น การกินเจยังเชื่อกันว่าเพื่อเป็นการสักการะพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ หรือดาวนพเคราะห์ทั้ง 9

ในพิธีกรรมนี้งดเว้นการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยตั้งปณิธานการกินเจ งดเว้นอาหารคาว เพื่อสมาทานศีลคือ
1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน
2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน
3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน

เทศกาลกินเจของคนเชื้อสายจีนในไทยก็เป็นไปตามความเชื่อข้างต้น คือเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้า และเจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์

ที่มา: http://www.tlcthai.com/education/knowledge-online/15375.html
รูปภาพ: http://i.ytimg.com/ , FoodTravelTVChannel
เรียบเรียงโดย: ต้นสนคู่
www.doublepine.co.th

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

10 อาหารที่ไม่ควรกินบ่อย เสี่ยงสารเคมีสะสมก่อโรค



10 อาหารที่ไม่ควรกินบ่อย เสี่ยงสารเคมีสะสมก่อโรค

1. ไข่เยี่ยวม้า..ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบางและอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ
2. ปาท่องโก๋..กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไปนอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย
3. เนื้อย่าง..กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
4. ผักดอง..ผักดองและของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกินหรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนักเกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
5. ตับหมู..ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกินหรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้น
6. ผักโขม,ปวยเล้ง.. ผักโขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า...มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกินหรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียมหรือสังกะสีได้
7. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป..บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหารและการสะสมสารพิษได้
8. เมล็ดทานตะวัน..เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงทว่า... การกินมากเกินหรือบ่อยเกินอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯเพิ่มขึ้น
9. เต้าหู้หมัก,เต้าหู้ยี้..กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย... ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่าง กาย
10. ผงชูรส..คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา... การกินผงชูรสมากเกิน หรือบ่อยเกิน ทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูงอาจทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์

อ้างอิงจาก : gracezone.org
รูปภาพจาก : th.wikipedia.org, food.mthai.com, toncid.com, women.thaiza.com, healthcarethai.com, bloggang.com, bestgreenland.com, civilschools.com, img.tarad.com, images.thaiza.com

เรียบเรียงโดย : ต้นสนคู่

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

9 เทคนิค วิธีการบริหารเวลา



9 เทคนิค วิธีการบริหารเวลา

1. จดบันทึกการใช้เวลาในแต่ละวัน
การบริหารเวลาควรเริ่มต้นจากการสำรวจตัวเองก่อนว่าในแต่ละวันนั้นได้ใช้เวลาในการทำกิจกรรมอะไรบ้าง โดยการจดบันทึกเวลาและการทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันติดต่อกันประมาณ 3 วัน แล้วลองคำนวณดูว่าได้ใช้เวลาไปกี่ชั่วโมงกับการนอน การกิน การทำงาน การเดินทาง การออกกำลังกาย การอยู่คนเดียวเงียบๆ การใช้เวลาสังสรรค์กับเพื่อนฝูงและการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ลองพิจารณาดูว่าเวลาที่ใช้ในการทำกิจกรรมเหล่านี้สมดุลแล้วหรือยังได้เสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมากน้อยแค่ไหนและบ่อยแค่ไหนที่คิดจะทำอะไรแล้วก็รีรอผัดผ่อนไปทำอย่างอื่นก่อนงานที่ควรจะเสร็จจึงไม่เสร็จเสียทีควรจะต้องปรับปรุงเวลาในเรื่องใดให้มากขึ้นหรือน้อยลง

2. วางแผนงานล่วงหน้า
ในแต่ละวันจะมีเวลาสำหรับการทำงานประมาณ 6-8 ชั่วโมง จึงควรตั้งใจทำงานให้เต็มที่ โดยวางแผนการทำงานล่วงหน้าว่าในวันนั้นจะต้องทำอะไรบ้าง แล้วพรุ่งนี้จะต้องทำอะไรจัดลำดับความสำคัญของงาน เลือกทำงานที่สำคัญและเร่งด่วนก่อน ทำงานที่คิดว่ายากก่อนในช่วงเช้าเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายยังสดชื่น รู้จักแบ่งงานชิ้นใหญ่ให้เป็นชิ้นย่อยๆ ถ้าเป็นหัวหน้างานควรแบ่งงานให้ลูกน้องหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องรับไปทำอย่างเท่าเทียมกันเพื่อความยุติธรรม และอย่างหวงงาน อย่าคิดว่าคนอื่นจะทำไม่ได้ ค่อยๆ สอน และค่อยๆ ฝึก เขาย่อมทำได้ในวันหนึ่งและเราก็จะสบายขึ้นด้วย เมื่อทำงานติดต่อกันประมาณ 2 ชั่วโมงควรพักสมองโดยการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง และควรพยายามทำงานให้เสร็จที่ที่ทำงาน ไม่จำเป็นอย่าเอางานกลับไปทำที่บ้านเพราะจะรบกวนเวลาสำหรับตนเองและครอบครัว

3. เพิ่มเวลา
ถ้ารู้สึกว่าเวลามีไม่พอควรหาเวลามาเพิ่ม เช่น ตื่นให้เช้าขึ้นหรือย้ายมาพักใกล้ที่ทำงานเพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง เป็นต้น ลองสังเกตผู้ร่วมงานดูบ้างว่าแต่ละคนมีวิธีการบริหารเวลาอย่างไร ลองเรียนรู้จากผู้ที่บริหารเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเครียดน้อยลงก็ได้

4. ตั้งเป้าหมายและวัตถุประสงค์
ให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ว่าคุณจะทำอะไร เพื่ออะไร ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จ คือ การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนจดไว้กันลืมแล้วลงมือทำทันที จำไว้ว่าถ้าจะยิงปืนให้เข้าเป้าก็จำเป็นต้องเล็งให้ดีซะก่อน เมื่อโฟกัสถูกจุดแล้วก็ต้องรู้ว่าทำอะไรบ้างจึงจะไปถึง เคล็ดลับการอยู่ที่การมี แผนที่ดีอยู่กับตัวทั้งระยะสั้นและระยะยาวว่าคุณต้องทำอะไรบ้างตั้งแต่วันนี้ สัปดาห์นี้ จนถึงตลอดทั้งปีนี้ แผนที่ดีคือต้องรู้ปัญหาของงานแต่เนิ่นๆเพื่อที่จะหาทางแก้ได้ทันท่วงที

5. สร้าง To-Do-List
เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่งเรียงลำดับก่อนหลังของงานที่จะทำเอาไว้ก่อนแล้วเชื่อและบังคับตัวเองให้ทำตามนั้น เป็นการไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางเสียเวลาเที่ยวเล่นไปกับเรื่องหยุมหยิมทั้งหลายแหล่ ว่ากันว่า คนที่ประสบความสำเร็จน่ะเขาโน๊ตไว้ทั้งนั้น ว่าอะไรที่ควรทำก่อนหลังแต่ถ้ามีเรื่องด่วนแทรกเข้ามาก็สามารถปรับให้ยืดหยุ่นได้

6. มีแฟ้มงาน
อย่าปล่อยให้ความคิดกระจัดกระจายรีบเก็บๆๆๆ เข้ามาใส่ในแฟ้มซะ เอกสารก็เหมือนกันถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องก็จับมันมาเก็บใส่แฟ้มงานเดียวกัน เพื่อไม่ให้ความคิดของคุณเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหน โต๊ะรกๆ ไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้นอย่ามาอ้างว่าโต๊ะรกๆ ทำให้ไอเดียคุณบรรเจิด มุกนี้ใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณมีความจำดีเยี่ยมเท่านั้น ว่ากระดาษและสิ่งของที่เกลื่อนอยู่บนโต๊ะน่ะ มีเรื่องอะไร อยู่ตรงไหนบ้าง แต่ถ้าคุณเป็นคนธรรมดาจัดของให้เข้าที่เข้าทางจะดีกว่านะ

7. ใช้โทรศัพท์ให้เป็น
เสียงกริ๊งทุกสิบห้านาทีติดโผสาเหตุอันดับต้นๆ ที่มารบกวนเวลาทำงานของคุณ อย่าตกเป็นโรคโฟนลิซึ่มด้วยการเม้าท์สนุกปากในเวลางาน เพราะนอกจากจะขโมยเวลาไปจากคุณแล้วมันยังทำให้คุณดูไม่ดีอีกด้วย ธนาคารและโรงแรมใหญ่ๆในต่างประเทศเริ่มขอความร่วมมือให้พนักงานหน้าเคาน์เตอร์งดใช้โทรศัพท์มือถือขณะปฏิบัติงาน เพราะเกรงว่าลูกค้าจะรู้สึกไม่ประทับใจเมื่อเห็นพนักงานรับโทรศัพท์มือถืออยู่บ่อยๆ จนเสียงานและรับรองลูกค้าได้ไม่เต็มที่

8. ทุกคนมีเวลาของตัวเอง
สังเกตให้ดีว่าช่วงเวลาใดที่สมองคุณรู้สึกปลอดโปร่ง ไอเดียกระฉูด ถ้าคุณถูกชะตากับเวลาเช้าตรู่ก็รีบเรียงลำดับความคิดทำ list สิ่งที่จะทำในวันนั้นก่อนที่เมฆดำจะเลื่อนมาบดบังความคิดเจ๋งๆ ของคุณ

9. มีความรับผิดชอบ
บริหารเวลาต้องเริ่มจากการจัดการตัวเองซะก่อนก็จะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าทำ list ขึ้นมาแล้วทำตามนั้นไม่ได้จะบอกให้ก็ได้ว่าสาเหตุหลักของความล้มเหลวเกิดจากโรคความรับผิดชอบบกพร่องของคนเรานี่แหละ ไม่มียารักษาแต่หายได้ด้วยวินัยในตัวคุณเอง

คุณลองใช้เวลาไม่กี่นาทีอ่านเคล็ดบริหารเวลาเหล่านี้ใช้เวลาอีกนิดหน่อยลองลงมือทำดูแล้วคุณจะค้นพบเวลาอีกหลายชั่วโมงที่หายไป ทีนี้ไม่ว่าคุณจะงานยุ่งแค่ไหนก็จัดการมันได้ไม่ยากด้วยสองมือของคุณเอง เวลาเป็นสมบัติที่มีค่ายิ่งของคุณที่สามารถนำไปแลกเป็นอะไรก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะจัดการกับมันได้ดีแค่ไหน

ข้อมูลจาก: http://2015.n3k.in.th/?p=6980
รูปภาพจาก: http://fbi.dek-d.com/27/0337/5051/115909384

เรียบเรียงโดย: ต้นสนคู่

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

เล่นมือถือก่อนนอนทำหลับไม่สนิท

เล่นมือถือก่อนนอนทำหลับไม่สนิท

          แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการนอน ได้แนะนำเป็นเสียงเดียวกันว่า ให้เก็บโทรศัพท์มือถือให้ห่างจากเตียงนอนเท่าที่จะทำได้ เพราะเหตุว่ามันอาจจะก่อปัญหาในการนอน


แต่กระนั้นพอลืมตาขึ้นมา บางคนก็แทบรีบกระโจนเข้าใส่มัน แพทย์ของศูนย์โรคการนอน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า การทำเช่นนั้นก็ไม่ได้เป็นผลดีอะไร แทนที่ว่าจะลุกไปชงกาแฟดื่ม กลับต้องรีบร้อนมาดูโทรศัพท์ ว่าเป็นเวลาอะไร และยังเลยยังไปตรวจดูอีเมลซ้ำ บางทีอาจจะต้องตื่นด้วยความกระวนกระวาย ไม่ว่าใครก็ตาม ที่ต้องตื่นมากลางดึก เพื่อจะมาตรวจดูอีเมล แล้วกลับไปนอนต่ออีก ก็แทบจะนอนไม่หลับ ในความรู้สึกผิดหวังและกังวลในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เห็น เป็นเหตุให้ร่างกายพลอยเครียดไปด้วย
ยิ่งบางคนอาจจะพลิกไปพลิกมาใจนึกถึงแต่อีเมล หรือการประชุมในเวลาอีก 6 ชั่วโมงข้างหน้า แพทย์คนหนึ่งเปิดเผยว่า การไว้โทรศัพท์ในห้องนอน จะทำให้มีปัญหาในการนอนได้หลายอย่าง เพราะว่า มีคนไข้แบบนี้หลายรายแล้ว ที่มีความเดือดร้อน เกี่ยวกับเรื่องนี้มากที่สุด จะเป็นคนที่อยู่ในวัยอายุ 20 และ 30 ปี โทรศัพท์จะกลายมาเป็นตัวรบกวนการนอน การมองเห็นแสงสีน้ำเงิน ซึ่งโดยมากมาจากโทรศัพท์ และจอคอมพิวเตอร์ จะไปปลุกให้สมองต้องคอยตื่นอยู่เสมอ ซึ่งเป็นการรบกวน รูปแบบของการนอน                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                             ที่มา: thaihealth.or.th                                                                                                                                                                     รูปภาพ: sites.psu.edu                                                                                                                                                                         เรียบเรียงโดย: ต้นสนคู่                                                                                                                                                    doublepine.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

10 ประโยชน์ของการตื่นเช้า



การตื่นเช้ามีประโยชน์กับเราหลายอย่างมาก ทั้งสุขภาพกายและใจ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

1. ต้อนรับวันใหม่-ด้วยอากาศสดชื่น แถมอากาศในตอนเช้ายังมีวิตามินที่ดีกับร่างกายอีกด้วย

2. ไม่ต้องรีบร้อนแข่งขันกับเวลา-คนตื่นเช้า ไม่ต้องกลัวรถติด ไม่ต้องกลัวไปไม่ทัน ได้อาบน้ำสบายๆ ไม่ต้องรีบ

3. ได้พบกับความสงบ-ตอนเช้าสงบเงียบ ไร้เสียงใดๆ ถ้าใครคิดงานไม่ออก ลองตื่นเช้ามานั่งทำงานที่ค้างไว้ รับรองคิดออกแน่ๆ แต่คุณต้องนอนหลับสนิทมาตลอดทั้งคืน

4. มีเวลาสำหรับการออกกำลังกาย-ตื่นเช้ามาออกกำลังกายสักนิด เพื่อสุขภาพที่ดี

5.ได้ทานอาหารเช้า-อาหารมื้อสำคัญที่ชอบมองข้าม อาหารเช้าเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุด กินได้เยอะที่สุด เพราะกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน เราต้องเติมพลังงานให้เต็มที่ก่อนเริ่มวันใหม่

6. มีเวลาเพิ่มมากขึ้น-แล้วคุณจะรู้ว่า วันๆ หนึ่งของคุณ มีเวลาเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

7. ได้พบแสงแดดยามเช้า-นี่เป็นของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้กับทุกคนในตอนเช้า แต่กลับไม่มีใครคิดอยากจะได้ของฟรีแบบนี้ การมองดูแสงแดดที่ค่อยๆ ส่องแสงเรืองรองบนท้องฟ้าระหว่างที่วิ่งออกกำลังกายไปด้วยเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหนอีกแล้ว

8. มีเวลาให้กับเป้าหมายในชีวิต-เชื่อว่าทุกคนมีเป้าหมายในชีวิตกันทั้งนั้น และก็ไม่มีเวลาไหนหรอกที่เหมาะกับการใช้เวลาทบทวนเป้าหมายและวางแผนไปกว่าเวลาในตอนเช้า

9. การทำกิจวัตรอย่างสบายๆ-ไม่ต้องรีบซิ่งไปตอกบัตรที่ทำงาน ไม่จำเป็นต้องตาลีตาเหลือก สามารถไปถึงที่ทำงานก่อนคนอื่นๆ และเริ่มทำงานก่อนชาวบ้าน (ซึ่งส่งผลทำให้คุณทำงานเสร็จก่อนชาวบ้าน) ผลลัพธ์จากการตื่นเช้ามันต่างกันลิบลับเลยทีเดียว

10. ขับถ่ายของเสีย-ในช่วงเช้าจะเป็นช่วงที่อวัยวะเริ่มทำงาน ทั้งลำไส้เล็กและสำไส้ใหญ่ ที่เริ่มขับของเสียออกจากร่างกาย เมื่อร่างกายขับของเสียต่างๆ ออกได้หมด ผิวพรรณก็จะสดใส จิตใจเบิกบาน พร้อมที่จะลุยงานให้สำเร็จ



ข้อมูลจาก: http://www.thaihealth.or.th/Content/25660-10%20%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%B2.html

เรียบเรียงโดย: ต้นสนคู่


www.doublepine.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

ผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย จริงหรือ???


ผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชาย จริงหรือ???

หลายๆ ครั้งที่เราเคยสงสัยว่า ผู้หญิงหรือผู้ชายจะมีอายุยืนยาวกว่ากัน และเพราะเหตุใดจึงทำให้ทั้งสองเพศมีอายุขัยที่แตกต่างกัน ซึ่งคำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาค้นคว้าและหาสาเหตุกันอย่างกว้างขวาง

จากการรายงานของ Gerontology Research Group (GRG) ซึ่งเป็นการรวมตัวของเหล่านักวิจัยในหลาย ๆ สาขาจากทั่วทุกมุมโลก ได้ทำการติดตามบุคคลที่มีอายุมากกว่า 110 ปี หรือที่เรียกว่า “Supercentenarians” พบว่าบุคคลที่มีอายุมากกว่า 110 ปี ร้อยละ 95 เป็นผู้หญิง (44 คนจาก 46 คน)

นอกจากนั้น อายุขัยเฉลี่ยของผู้ชายในหลาย ๆ ประเทศล้วนน้อยกว่าผู้หญิง เช่น อายุขัยเฉลี่ยของผู้ชายในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 76.30 ปี ในขณะที่อายุขัยเฉลี่ยของผู้หญิงอยู่ที่ 81.30 ปี ซึ่งมีอายุที่แตกต่างกันถึง 5 ปี และอายุขัยเฉลี่ยของผู้ชายในประเทศไทยอยู่ที่ 71.10 ปี ในขณะที่อายุขัยเฉลี่ยของผู้หญิงอยู่ที่ 78.10 ปี ซึ่งมีอายุที่แตกต่างกันถึง 6 ปี อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้อายุขัยเฉลี่ยของเพศชายและเพศหญิงแตกต่างกัน

การที่มนุษย์เกิดความเสื่อมชราของร่างกายและนำไปสู่การเสียชีวิตนั้นมีกลไกหลาย ๆ กลไกเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกที่แน่ชัด แต่กลไกหนึ่งที่คาดว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสื่อมชรานั้น คือ การทำงานของเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ลดลง

มีงานวิจัยหลายๆ งานวิจัยที่กล่าวถึงผลของฮอร์โมนเพศหญิงต่อการแบ่งตัวของเซลล์ต้นกำเนิด เช่น งานวิจัยของ Nakada และคณะ พบว่าในหนูเพศเมียจะมี hematopoietic stem cells มากกว่าในเพศผู้ นอกจากนั้นเซลล์ต้นกำเนิดยังมีการแบ่งตัวมากกว่าด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากกฮอร์โมนเอสโตรเจน ดังนั้นในผู้หญิงจึงมีแนวโน้มที่จะมีการเพิ่มจำนวนของเซลล์กำเนิดใหม่ อย่างไรก็ตามยังมีคำถามอยู่ว่าการเพิ่มขึ้นของเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถแบ่งตัวได้อย่างต่อเนื่องในผู้หญิง จะมีผลต่อการมีอายุยืนหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยหลาย ๆ งานวิจัย ที่พยายามศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างฮอร์โมนเพศกับความเสื่อมชราของเซลล์ต้นกำเนิด โดยมีการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ความเสียหายของดีเอ็นเอ (DNA Damage) และ reactive oxygen species (ROS) เช่น การศึกษาของ Sousa-Victor และคณะ พบว่า ความเสียหายของดีเอ็นเอมีความสัมพันธ์กับความเสื่อมชราของเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งในงานวิจัยนี้ไม่สามารถสรุปได้ว่าความเสียหายของดีเอ็นเอนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเพศหรือไม่ แต่พบว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนสามารถเหนี่ยวนำให้ยีนที่มีการต้านอนุมูลอิสระแสดงออกได้มากขึ้น รวมถึงลดการเกิด ROS ด้วย ในขณะที่ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะเพิ่มความเครียด (oxidative stress) มากขึ้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าความเสียหายของดีเอ็นเอถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนเพศ

จากข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาจะพบว่า เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ถูกควบคุมโดยเพศและฮอร์โมนเพศ นอกจากนั้นเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ยังมีความสัมพันธ์กับความเสื่อมชราของร่างกาย ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าเพศและความเสื่อมชราของร่างกายมีความเกี่ยวข้องกัน เพียงแต่ในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาอย่างชัดเจนเท่านั้นเอง

นั่นจึงเป็นความท้าทายแก่เหล่านักวิทยาศาสตร์ในการค้นหาคำตอบสืบต่อไปว่าผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชายจริงหรือไม่และอะไรคือสาเหตุที่แท้จริง

บทความจาก: http://www.vcharkarn.com/varticle/502732
รูปภาพจาก: http://www.bgirlclub.com/tag/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2
เรียบเรียงโดย: ต้นสนคู่

www.doublepine.co.th
https://www.facebook.com/doublepine

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ถ้าคิดอยากเลิกเครื่องดื่มหวานเย็น ทำยังไงถึงจะเลิกได้

          หนุ่มสาวออฟฟิตสมัยนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันโดยเฉพาะตอนเช้า และหลังเที่ยง คือการถือแก้วกาแฟ ชาเขียว ชาเย็น แล้วแต่ชอบ เข้ามาดื่มในบริษัทจนเป็นภาพที่คุ้นตา ประหนึ่งว่ามันคือส่วนสำคัญในชีวิตที่แยกออกจากกันไม่ได้ พอดื่มขึ้นมาทีไรเหมือนกับยกสวนน้ำตกหรรษามาบนโต๊ะทำงานด้วย เพราะมันสดชื่นมีเรี่ยวแรงมีพละกำลังในการทำงานอย่างบอกไม่ถูก  ความสดชื่นเป็นเรื่องที่ดี แต่เรื่องที่มาพร้อมกับสิ่งที่ดีมักมาคู่กับข้อเสียเสมอ นั้นคือปริมาณน้ำตาล นมข้มหวาน คอฟฟีเมท ที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้ ยังไม่นับรวมวิปปิ้งครีม กับชอกโกแลตที่เป็นท็อปปิ้งแสนอร่อย และมักจะเข้าใจว่าติดกาแฟบ้าง ติดชาเขียวบ้าง แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่กำลังติดอยู่จนหยุดดื่มไม่ได้ คือ น้ำตาล และความมันของคอฟฟี่เมทต่างหาก ถ้าติดกาแฟจริงการดื่มกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลไม่น่าจะใช่ปัญหา การดื่มชาเขียวเย็นไม่ใส่น้ำตาลก็ควรจะดื่มได้คล่องคอไม่ติดอะไร แต่ถ้าหากลองดื่มแล้วสรุปว่าดื่มไม่ได้ นั้นเป็นสัญญาณเตือนว่าเราติดน้ำตาลอย่างแท้จริง
          มีนักดื่มหลายคนหันมาใส่ใจสุขภาพ ออกกำลังกาย ทานอาหารคลีนที่คิดว่ามีประโยชน์ที่สุด เลิกทานข้าวขาว มาทานข้าวโอ้ต ข้าวกล้อง ทานผักผลไม้เพิ่มขึ้น แต่กลับเลิกเครื่องดื่มหวานเย็นยังไม่ได้ ยิ่งเดินผ่านความอยากก็พุ่งกระชู้ดขึ้นมาทันที จนต้องไปซื้อหามาดื่มให้สมใจ วิธีการเลิกเครื่องดื่มหวานเย็นเหล่านี้ไม่แนะนำให้หักดิบ แบบเลิกดื่มกระทันหัน เนื่องจากเราดื่มมาเป็นประจำทุกวัน การเลิกดื่มแบบฉับพลันจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดความอยากมากขึ้น เมื่อถึงจุดที่ทนไม่ไหวเราจะกลับมาดื่มในปริมาณที่มากกว่าเดิมหลายเท่า วิธีการเลิกที่ดีที่สุดคือค่อย ๆ เลิก คำว่าค่อย ๆ เลิกหมายความว่า เราจะค่อย ๆ ตัดความอร่อยที่เราชื่นชอบออกไปจากเครื่องดื่มแก้วโปรด ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เช่น อยากจะเลิกดื่มชาเขียนเย็นราดวิปปิ้งครีม มาดูสิ่งที่จะเริ่มทยอยตัดออกจากเครื่องดื่มกันดีกว่า


สัปดาห์ที่ 1-2 ตัดวิปปิ้งครีม ถ้าราดคาราเมลหรือชอกโกแลต ให้ตัดออกพร้อมกัน
สัปดาห์ที่ 3-5 ตัดวิปปิ้งครีม และลดปริมาณน้ำตาลลง 1 ช้อนทุกสัปดาห์ จนกว่าจะไม่ใส่น้ำตาล
สัปดาห์ที่ 4-6 ตัดวิปปิ้งครีม ตัดน้ำตาล และลดปริมาณนมข้นหวานลง 1 ช้อนทุกสัปดาห์ จนกว่าจะไม่ใส่นมข้นหวาน
สัปดาห์ที่ 7-8 ตัดวิปปิ้งครีม น้ำตาล นมข้น ลดปริมาณคอฟฟี่เมทลง 1 ช้อนทุกสัปดาห์ จนกว่าจะไม่ใส่คอฟฟี่เมท
จะเห็นได้ว่าระยะเวลาการตัดความอร่อยออกจากเครื่องสุดโปรดของเราจะใช้ระยะเวลา 2 เดือน ซึ่ง

ระหว่างนี้ความอยากเครื่องดื่มจะลดลงเองตามลำดับ และอยากจะบอกว่าเป็นการลดความอยากแบบถาวร เพราะเราสร้างการรับรู้ให้ร่างกายแล้วว่าเครื่องดื่มที่เราเคยชอบ มันไม่อร่อยอีกต่อไป จนไม่จำเป็นต้องดื่มอีก ต่อให้เดินผ่าน หรือเห็นคนรอบข้างดื่ม เราก็จะไม่รู้สึกอยากดื่มอีกเพราะรสชาดที่ร่างกายคุณจำได้คือ เครื่องดื่มที่รสชาดปราสจากน้ำตาล และคอฟฟี่เมทนั้นเอง

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วันสารทจีน ประเพณีสารทจีน



วันสารทจีน ซึ่งเป็นอีกวันหนึ่งที่มีความสำคัญของชาวจีน ที่มีไว้เพื่อให้ลูกหลานชาวจีนได้แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ด้วยการเซ่นไหว้ อีกทั้งยังเป็นเดือนที่ดวงวิญญาณต่างๆ จะมารับบุญกุศลอีกด้วย และด้วยชาวจีนในประเทศไทยเราก็มีอยู่มาก วันนี้เราจึงจะแนะนำเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับวันสารทจีนกัน

ประวัติและความสำคัญของวันสารทจีน
ตามปฏิทินทางจันทรคติ เทศกาลสารทจีน จะตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ตามปฏิทินจีน เป็นวันที่ชาวจีนจะแสดงความรัก ความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ ซึ่งลูกหลานจะนำอาหารที่อยู่ในความเชื่อ รวมทั้งผลไม้ต่างๆ มาทำพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้า และบรรพบุรุษที่ตนนับถือ อีกทั้งเดือนที่ชาวจีนเชื่อกันว่าเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้ดวงวิญญาณทั้งหลายมารับส่วนบุญส่วนกุศลได้
ชุดไหว้ในพิธีสารทจีน
ตามความเชื่อแล้วการไหว้ในวันสารทจีน จะประกอบไปด้วยชุดอาหาร 3 ชุด ดังนี้
1. ชุดสารทจีนสำหรับไหว้เจ้าที่     จะต้องทำการไหว้ตอนเช้า โดยประกอบไปด้วยอาหารคาว หวาน ขนมที่ไหว้จะนิยมเป็นขนมถ้วยฟู กุยช่าย ขนมเทียน ขนมเข่ง ซึ่งต้องมีจุดสีแดงแต้มไว้ตรงกลาง เนื่องจากชาวจีนเชื่อกันว่าสีแดง คือ สีแห่งความเป็นศิริมงคล  นอกจากนั้นควรจะมี น้ำชา ผลไม้ เหล้าจีน หรือกระดาษเงิน กระดาษทอง ตามสมควร
2. ชุดสารทจีนสำหรับไหว้บรรพบุรุษ     จะมีความคล้ายกับชุดสารทจีนไหว้เจ้าที่ แต่ส่วนมากจะทำเมนูอาหารที่บรรพบุรุษชื่นชอบ แล้วแต่บุคคล อีกทั้งควรจะมีอาหารที่เป็นน้ำเช่น แกง ต้มจืด หรือขนมน้ำใสๆ  และนิยมให้ขนมเทียน ขนมเข่ง ผลไม้ น้ำชา แก่บรรพบุรุษ รวมไปถึงกระดาษเงิน กระดาษทอง เพื่อเชื่อกันว่าให้บรรพบุรุษนำไปใช้ในภพภูมิของตนเอง
3. ชุดสารทจีนสำหรับไหว้สัมภเวสี     สัมภเวสี ในที่นี้หมายถึง ดวงวิญญาณเร่รอน ดวงวิญญาณไม่มีญาติ จะต้องทำการไหว้นอกบ้าน ซึ่งจะประกอบไปด้วยของคาวหวานและผลไม้ตามต้องการ และที่ขาดไม่ได้คือ เหล้าขาว เส้นหมี่ น้ำชา และกระดาษเงิน กระดาษทอง ซึ่งทุกอย่างจะต้องวางอยู่ด้วยกันในการเซ่นไหว้

ข้อมูลจาก: http://scoop.mthai.com/specialdays/5316.html

เรียบเรียงโดย: ต้นสนคู่


www.doublepine.co.th

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558

F1 ถึง F12 รู้ไหมว่ามันทำอะไรได้บ้าง


คีย์ที่กล่าวมาส่วนมากเราจะเรียกมันว่า "ฟังก์ชันคีย์"  F1 ถึง F12 อาจมีความหลากหลายของการใช้งานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งและโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่เปิดอยู่ซึ่งจะเปลี่ยนวิธีการของแต่ละคีย์เหล่านี้

ยังรวมถึงการใช้งานฟังก์ชันคีย์รวมดับคีย์ ALT หรือ CTRL เช่นผู้ใช้ Microsoft Windows สามารถกด ALT + F4 เพื่อปิดโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ด้านล่างเป็นรายการบางส่วนของการทำงานของคีย์ ฟังก์ชั่นในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Microsoft Windows แต่จะไม่ใช่ทุกโปรแกรมที่สนับสนุนฟังก์ชันคีย์

F1
มักจะใช้เป็นคีย์ช่วยเกือบทุกโปรแกรมจะเปิดหน้าจอ
ป้อนการตั้งค่า CMOS
Windows Key + F1 จะเปิดตัวช่วยของ Microsoft Windows
เปิดบานหน้าต่างงาน

F2
ใน Windows จะใช้ในการเปลี่ยนชื่อไอคอนหรือไฟล์
Alt + Ctrl + F2 เปิดเอกสารใหม่ในโปรแกรม Microsoft Word .
Ctrl + F2 จะแสดงหน้าต่างตัวอย่างก่อนพิมพ์ใน Microsoft Word
เข้าสู่การป้อนการตั้งค่า CMOS หรือ Bios
F3
เปิดคุณลักษณะการค้นหาในหลายๆโปรแกรมรวมถึง Microsoft Windows
ใน MS - DOS หรือ Windows ของบรรทัดคำสั่ง F3 จะทำซ้ำคำสั่งสุดท้าย
Shift + F3 จะมีการเปลี่ยนแปลงข้อความใน Microsoft Word
F4
เปิดพบหน้าต่าง
ทำซ้ำการกระทำล่าสุด ( Word 2000 ขึ้นไป )
Alt + F4 จะปิดโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ใน Microsoft Windows
Ctrl + F4 จะปิดหน้าต่างที่เปิดอยู่ในหน้าต่างที่ใช้งานในปัจจุบันใน Microsoft Windows
F5
ในทุกเบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ต F5 จะรีเฟรชหรือโหลดหน้าเว็บหรือหน้าต่างเอกสาร
เปิดหน้าค้นหา แทนที่ และไปที่หน้าต่างใน Microsoft Word
เริ่มสไลด์โชว์ใน PowerPoint
F6
ย้ายเคอร์เซอร์ไปที่ Address bar ใน Internet Explorerและ Mozilla Firefox .
Ctrl + Shift + F6 เปิดไปยังเอกสารอื่น ๆ ใน Microsoft Word
F7
ปกติจะใช้เพื่อตรวจสอบการสะกดและไวยากรณ์ตรวจสอบเอกสารในโปรแกรม Microsoft เช่น Microsoft Word, Outlook, ฯลฯ
Shift + F7 ทำงานตรวจสอบบนคำที่ไฮไลต์
เปิดการใช้งานเลือนหน้าต่างด้วยปุ่มลูกศรบนคีย์บอร์ดใน Mozilla Firefox
F8
แป้นฟังก์ชันที่ใช้ในการเข้าสู่เมนูเริ่มต้น Windows, นิยมใช้ในการเข้าถึง Windows แบบ Safe Mode .
F9
เปิดแถบเครื่องมือวัดใน Quark 5.0
F10
ใน Microsoft Windows เปิดใช้งานแถบเมนูของโปรแกรมที่เปิดอยู่
Shift + F10 เป็นเช่นเดียวกับการคลิกขวาบนไอคอนที่ไฮไลต์ไฟล์หรือการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ต
การเข้าถึงการกู้คืนพาร์ทิชันที่ซ่อนอยู่ ของ HP และ Sony คอมพิวเตอร์
ป้อนการตั้งค่า CMOS .
F11
โหมดเต็มหน้าจอในเบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ต
CTRL + F11 การเข้าถึง การกู้คืนพาร์ทิชันที่ซ่อนอยู่ในคอมพิวเตอร์ของ Dell
การเข้าถึงการกู้คืนพาร์ทิชันที่ซ่อนอยู่บน eMachines, Gateway, และคอมพิวเตอร์ Lenovo
F12
เปิดหน้าที่ทำการบันทึกใน Microsoft Word
SHIFT + F12 บันทึกเอกสาร Microsoft Word
Ctrl + Shift + F12 พิมพ์เอกสารใน Microsoft Word
เกร็ดเล็กๆครับเครื่องคอมพิวเตอร์ไอบีเอ็มก่อนหน้านี้ยังมี F13 -- F24 บนแป้นพิมพ์ แต่เนื่องจากแป้นพิมพ์เหล่านี้ไม่มีการใช้งานจึงได้ถูกนำออกไป เอาไปประดับความรู้กันจะได้รู้ว่า ไอ้ปุ่มพวกนี้ที่เราไม่เคยใช้งานความจริงมันใช้ได้ดีเสียด้วย นี่แค่บางส่วนถ้าว่าง จะหาแบบเต็ม ๆ มาให้ครับ

แหล่งที่มา : superict

              : http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/general_knowledge/20684/

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำยังไงนะ จะได้เสียภาษีน้อยๆ

     มาวางแผนภาษีปีนี้กันเถอะ ถ้า “การเสียภาษีเป็นหน้าที่ของประชาชนที่มีรายได้”..ท่องคำนี้ได้จำขึ้นใจ แต่ก็เถอะนะ ถึงรู้ว่าต้องทำหน้าที่ แต่ก็ขอตัวช่วยมาลดหย่อนให้เบาๆกันหน่อย  เขาเรียกวิธีแบบนี้ว่าง “วางแผนภาษี” คือจ่ายครบ ถูกต้อง แต่น้อยที่สุดโดยถูกต้องตามกฎหมายจ้ะ 
     ตามปกติแล้ว เราจะคิดถึงบรรดาเครื่องมือลดหย่อนตอนสิ้นปี จะโหมกระหน่ำจัดหาในเดือนธันวาคม ซึ่งบางทีตอนนั้นเงินก็ไม่ค่อยว่าง ต้องเอาไปซื้อของขวัญปีใหม่พอดี คลีโอขอให้เริ่มกัน ณ ตั้งแต่เดือนนี้กันเลยจะทำได้ยังไง?

    1.หักค่าใช้จ่าย  : ถามตัวเองว่า มีสามีมั้ย? ไม่มีเงินได้ด้วยนะ  มีลูกมั้ย? ลูกเรียนไม่เกินอุดมศึกษาหรือเปล่า? มีพ่อแม่ อายุเกิน 60 ปี ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปีมั้ย? ซื้อประกันสุขภาพให้พ่อแม่บ้างหรือเปล่า? นั่นคือค่าใช้จ่ายที่เอามาหักจากรายได้ได้เลย

   2.เพิ่มค่าลดหย่อน : ดูตามเช็คลิสต์นี้ได้เลย

      – ซื้อประกันชีวิตหรือยัง? : เบี้ยประกันชีวิต 10 ปีขึ้นไปหักเป็นค่าลดหย่อนได้ 100,000 บาท และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ หักได้อีก 15% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท รวมกับ RMF แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท

      – ซื้อ LTF / RMF หรือยัง? : RMF หักลดหย่อนได้ไม่เกิน 15% ของรายได้พึงประเมิน รวมกับประกันชีวิตบำนาญแล้วไม่เกิน 500,000 บาท  ส่วน LTF หักลดหย่อนได้เท่ากัน แต่ทั้งหมดต้องซื้อหน่วยลงทุนสม่ำเสมอ ถือครบ 5 ปี 

      – ผ่อนซื้อบ้านหรือเปล่า? : “ดอกเบี้ย”บ้านมาหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท 
      – จ่ายประกันสังคม? : หักได้เท่าที่จ่าย แต่ไม่เกิน 9,000 บาท 
      – ทำบุญบริจาคหรือเปล่า? : เงินบริจาคสำหรับหน่วยงานที่นำมาหักได้ ไม่เกิน 10%ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อนแล้ว  
      – สนับสนุนการศึกษา? : จะหักได้ 2 เท่าของเงินที่ให้ แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและลดหย่อน

   3. มีรายได้แต่ยกเว้นภาษี

      – ฝากเงินแบบฝากประจำพิเศษ : ฝากเป็นประจำทุกเดือนในระยเวลา 2-3 ปี ดอกเบี้ยที่ได้ไม่เสียภาษีดอกเบี้ยร้อยละ 15

ที่มา : http://www.cleothailand.com

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร

ในยุคปัจจุบัน การทำงานเก่งอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะอยู่รอดในองค์กรที่มีการแข่งขันกันตลอดเวลาได้ เพราะทุกภาระและหน้าที่ ล้วนต้องมีการติดต่อประสานงานกับตำแหน่งต่างๆ กว่าที่จะทำงานประสบความสำเร็จได้แต่ละชิ้น ก็ต้องได้รับการสนับสนุน และช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กรจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้ ดังนี้

1.บุคลิกภาพ (Personality) คำว่าบุคลิกภาพที่ดีไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตา ท่าทางและการแต่งกายที่ดีเท่านั้น แต่บุคลิกที่ดีต้องประกอบทั้งรูปลักษณ์ภายนอก รวมทั้งสิ่งที่อยู่ภายใน คือ ความคิด ค่านิยม ทัศนคติ วิสัยทัศน์ อีกด้วย ลักษณะของคนที่มีบุคลิกดีคือ รูปลักษณ์ภายนอกโดยภาพรวมต้องดูดี รู้จักกาลเทศะ รู้จักแสดงออกเรื่องอารมณ์อย่างเหมาะสม และสามารถสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคนที่มีบุคลิกภาพดีพร้อมทั้งภายนอกและภายในจะเป็นคนที่มีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ และเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงาน ทำให้การทำงานราบรื่นและประสบความสำเร็จได้
2.มีความอ่อนน้อมถ่อมตน (Modesty) คือการมีกิริยามารยาทสุภาพ สงบเสงี่ยม ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่ควรถือว่าการถ่อมตน หรือการยอมให้คนอื่นเป็นการเสียศักดิ์ศรี แต่คิดว่าจะนำมาซึ่งความรักใคร่เพราะไม่มีใครชอบคนที่ยกตนข่มท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสกว่า หรือผู้บังคับบัญชา ฉะนั้นการทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตน ผู้อาวุโสและเจ้านายจะเอ็นดู พร้อมจะให้ความช่วยเหลือสนับสนุนและสอนงานให้ถ้าสามารถทำตัวเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของเพื่อนร่วมงานและเจ้านายได้ ก็ถือว่าสร้างความสำเร็จในการทำงานได้เกินครึ่ง ในขณะเดียวกันในฐานะเจ้านายการสร้างความสัมพันธ์กับลูกน้องก็ไม่ควรใช้พระเดชคือการใช้อำนาจหรือสั่งการเพียงอย่างเดียว แต่ควรเปิดโอกาสให้ลูกน้องแสดงความคิดเห็นบ้าน และต้องสอนงานรวมทั้งแนะนำเมื่อลูกน้องไม่เข้าใจหรือมีข้อผิดพลาดในการทำงาน
3.ความเป็นเพื่อน (Friendly) และมีน้ำใจช่วยเหลือ ( Helpful) ควรทำตัวให้สนิทสนมกับเพื่อนร่วมงาน ให้ความเป็นกันเองวางตัวธรรมดา ไม่ควรถือตัวหรือหยิ่งจองหอง ไม่ว่าฐานะทางเศรษฐกิจ หรือฐานะทางสังคมของเราจะสูงกว่าเพื่อนร่วมงานก็ตาม แต่เมื่อทำงานร่วมกันก็ต้องถือว่ามีสถานะเท่ากัน รวมทั้งเต็มใจช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานอย่างเต็มกำลังทั้งกายและใจ กำลังความคิด ในลักษณะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนร่วมงานคนที่มีความเป็นเพื่อนร่วมงานได้เป็นอย่างดี และถ้าเป็นเจ้านายการสร้างความรู้สึกให้พนักงานเกรงกลัวเพียงอย่างเดียวจะไม่เกิดบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ลูกน้องจะเครียดและไม่กล้าแสดงความคิดเห็น แต่ควรจะสร้างบรรยากาศให้พอเหมาะพอดีระหว่างความเคารพยำเกรง กับการกล้าแสดงออก กล้าโต้แย้งหรือแสดงความคิดเห็น
4.มีความกระตือรือร้น (Enthusiasm) และความรับผิดชอบ (Responsibility) คือมีความกระตือรือร้นและการทำงานทุกชนิด ทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถสนุกกับงาน มีความภูมิใจในหน้าที่และงานที่ทำ ทำงานด้วยความกระฉับกระเฉง รวมทั้งรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี และเป็นคนที่รับผิดชอบต่อคำพูด คำมั่นสัญญารักษาเวลา ทำตัวให้เป็นคนมีเกียรติ เป็นที่เชื่อถือได้ มีความซื่อตรง สุจริตในงานที่ทำ เป็นที่มาของความสำเร็จในการทำงานทุกชนิด ในฐานะลูกน้องก็ต้องทำงานให้เสร็จทันเวลาที่ได้รับมอบหมาย ทำงานด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มความสามารถ ในขณะเดียวกันถ้าเป็นเจ้านายก็ต้องรักษาคำพูด รักษาสัญญาที่ให้ไว้แก่ลูกน้อง เช่นเรื่องของการให้โบนัส การขึ้นเงินเดือนให้รางวัลพิเศษหรือการเลื่อนตำแหน่งก็ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้เช่นกัน
5.มีปฏิภาณไหวพริบ (Intelligenced) และความคิดสร้างสรรค์ (Constructive) ต้องมีปฏิภาณไหวพริบที่ดีในการทำงาน รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน จำชื่อและรายละเอียดของคนที่ต้องติดต่องานเห็นว่าให้ความสำคัญกับเขา และถ้าผู้บังคับบัญชาระดับสูงสามารถจำชื่อและรายละเอียดเกี่ยวกับพนักงานระดับล่างได้จะยิ่งสร้างความประทับใจความชื่นชมในตัวผู้บริหารมากยิ่งขึ้น รู้จักการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเป็นเจ้านายหน้าที่หลักอีกประการหนึ่งก็คือต้องสามารถช่วยลูกน้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เสมอ ที่สำคัญต้องมีความคิดแปลกใหม่ เป็นความคิดในทางที่ดีเพื่อสร้างความสำเร็จและความเจริญก้าวหน้าในการทำงานและองค์กรโดยรวม คนที่มีความคิดแปลกใหม่จะมีคุณสมบัติโดดเด่นในที่ทำงานและก้าวหน้าในด้านหน้าที่การงานได้ไม่ยาก
6.มีความขยันขันแข็ง (Diligent) และมีความพยายาม (Attempt) คือการขยันทำงานตามหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ต้องมีความเพียร ความพยายาม ฝึกฝน การเรียนรู้เพื่อการทำงานที่พัฒนาขึ้นกว่าเดิม รู้จักปรับปรุงตนเอง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ เพราะปัจจุบันความรู้และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คนที่เรียนรู้ ปรับตัวพัฒนาตนเองอยู่เสมอเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จได้ ฉะนั้นคนที่ขยันขันแข็ง มีความพยายามจะเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงาน และกลายเป็นคนโปรดของเจ้านายได้
7.มีความอดทน (Patient) อดทนต่อความเหนื่อยยาก ความลำบากในการทำงาน เพราะความสำเร็จทุกอย่างไม่เคยได้มาโดยง่าย แต่ต้องมีความอดทน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และไม่กลัวความล้มเหลว ทั้งอุปสรรคในการทำงาน และอุปสรรคในการสร้างความสัมพันธ์ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเด็กใหม่ หรือคนใหม่ในองค์กร มักจะถูกตั้งข้อรังเกียจหรือตั้งกำแพงจากเพื่อนร่วมงานดังกล่าว และต้องทำตัวให้เป็นที่ยอมรับโดยใช้เวลาไม่มาก
8.ให้ความเคารพนับถือ (Respect) และรู้จักแสดงความยินดีหรือสรรเสริญผู้อื่นด้วยความจริงใจ การสร้างความสัมพันธ์ในที่ทำงานและเพื่อนร่วมงานที่ดีต้องไม่ขัดเขินในการแสดงความยินดีกับผู้ที่ควรได้รับการยกย่อง เช่น เพื่อนร่วมงานที่เป็นพนักงานดีเด่น สร้างชื่อเสียงให้องค์กร นอกจากนี้ควรเคารพนับถือในความอาวุโส ตำแหน่งหรือผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า เพราะวัฒนธรรมองค์กรของการทำงานกับคนไทยและคนเอเชียคือ การให้ความสำคัญกับผู้อาวุโสผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่านั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอยู่ในฐานะเจ้านายต้องรู้จักการชมเชยลูกน้องเมื่อทำงานดี ทำงานสำเร็จ เพราะคำชมและการยอมรับในผลงานของเจ้านายบางครั้งมีค่าแก่พนักงานมากกว่าการขึ้นเงินเดือนด้วยซ้ำ

เรียบเรียงข้อมูลโดย ต้นสนคู่

ที่มา http://iss.nectec.or.th/hrmag/showpage.php?vol=16&sub=3&id=0

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

8 สัญญาณที่บ่งบอกว่า"ชีวิตการทำงานมาถูกทาง"

      คนที่รู้ตัวเองมาตั้งแต่ต้นว่าตัวเองชอบทำงานอะไรนั้น นับว่าเป็นคนส่วนน้อยมากๆ ในโลกใบนี้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่เลย... กำลังสงสัยอยู่หรือเปล่าว่าทางเดินที่กำลังเดินอยู่นี้ เราเดินมาถูกทางหรือเปล่า?
ช่วงอายุ 20-30 ปีของคนส่วนใหญ่ จะเป็นช่วง soul-searching (หรือช่วงค้นหาตัวเอง) ก็คือทำงานประจำอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่แต่ลึกๆ ในใจจะสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่า เราเหมาะกับงานที่เรากำลังทำอยู่จริงๆ เหรอ? เรากำลังมาผิดทางอยู่หรือเปล่า? ส่วนบางคนก็ใช้วิธีหนีไปเรียนต่อเพื่อหลีกเลี่ยงชีวิตทำงานที่มีแต่งานที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกว่าชอบ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้แน่ใจด้วยว่าสายงานที่ไปเรียนต่อนั้น คือสายงานที่เราชอบจริงๆ แต่เรียนต่อเพื่อซื้อเวลาที่จะต้องตัดสินใจให้เลื่อนออกไปเรื่อยๆ เท่านั้น 
    ด้วย 8 สัญญาณต่อไปนี้ จะทำให้เราตอบคำถามที่อยู่ในใจได้ว่าเราควรจะหยุดเดินเพื่อเปลี่ยนเส้นทางใหม่ หรือเดินต่อไปในเส้นทางนี้อย่างมั่นคง


     1.ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังทำงานอยู่
ถ้าชีวิตการทำงานของเรา ไม่ได้เป็น "งาน" มันเป็นวิถีของการมีชีวิตอยู่ การทำงานของเราสามารถสร้างไลฟ์สไตล์ที่เราต้องการได้รวมไปถึงสร้างวิถีการทำงานของเราได้ดั่งใจ หากหลายครั้งที่เราหยุดถามตัวเองว่า "เดี๋ยวนะ! นี่ฉันกำลังทำงานนี้อย่างจริงจังอยู่หรือเปล่าเนี่ย?" เราแทบจะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างการทำงาน การเล่นและการใช้ชีวิตออกจากกันได้ ทุกสิ่งที่เราทำมันเป็นไปอย่างต่อเนื่องตามวิสัยทัศน์ของเรา นั่นคือสัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังมาถูกทางแล้ว
2.สอดคล้องกับทัศนคติ
ชีวิตการทำงานของเราเป็นส่วนขยายความเชื่อและมุมมองส่วนตัวของเรา เรากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์เพราะเราทำในสิ่งที่สอดคล้องกับความคิดของเราเองว่าเราเป็นใคร ต้องการทำอะไร การอยู่ในตำแหน่งนี้เป็นจุดที่ดีในการสร้างแรงบันดาลใจ ทำงานตามวิสัยทัศน์ เราสามารถทำงานได้อย่างชัดเจน แจ่มแจ้งและเป็นจริง การทำเช่นนี้จะทำให้โลกของเรามีชีวิตที่ดีและสวยงาม
3.ยินดีที่จะพบเจอ
Passion (ความหลงใหล) มาจากคำศัพท์ภาษาละตินว่า Pati หมายถึง "ประสบพบเจอ" ชีวิตการทำงานของเรามีค่าน้อยมากถ้าเทียบกับความรัก ความหลงใหลและความตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จไปพร้อมกัน การเดินทางจะมีความท้าทายตลอดเวลา และเราไม่เคยคิดจะพ่ายแพ้ต่อมัน เราจะทนต่อความยากลำบาก การถูกปฏิเสธ การเสียสละ อุปสรรคเหล่านี้จะกระตุ้นให้เราทำการใหญ่ยิ่งขึ้น ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ถือเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับการเรียนรู้และเจริญเติบโต มองเห็นคุณค่าของความลำบากนั้นเป็นช่วงเวลาที่สวยงามและมีความสุข
4.ทำไมเวลาผ่านไปเร็วจัง
ดูเหมือนว่าเราจะหลงไปกับกระแสของเวลา มีความสุขกับการทำงานจนลืมมองนาฬิกาไปเลย พอหันไปดูเวลาอีกทีก็พบว่านั่งทำงานอยู่ตรงนี้มา 5 ชั่วโมงแล้ว! สัญชาตญาณบอกให้เราทำงานตรงหน้าโดยไม่รู้สึกเบื่อหรือเหน็ดเหนื่อยเลย ความรู้สึกเช่นนี้ไม่สามารถบังคับได้ มันจะเกิดขึ้นเองเมื่อเราเจอกับงานที่ใช่
5.ปรับห้องทำงานให้เหมาะกับการอยู่อาศัย
การทำงานของเราให้ความรู้สึกแบบที่ว่าเราสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างเต็มที่และสนุกไปกับมัน แม้ว่าเราจะหลงรักและมีความสุขการทำงานมากเท่าไหร่ ห้องที่อยู่นั้นก็จะมีบรรยากาศที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายง่ายๆ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้เราได้อย่างมากทีเดียว
6.ความรับผิดชอบเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่
เมื่อเราค้นพบว่าชีวิตการทำงานของเรามันใช่เลย! คำถามที่เกี่ยวกับเรื่องความรับผิดชอบจะเป็นเรื่องง่าย ไม่มีข้อสงสัยหรือข้อขัดแย้งใดๆ ที่จะโผล่มาถามว่า แน่ใจนะว่างานนี้เหมาะกับเรา? หัวใจของเราบอกว่าใช่ ร่างกายก็บอกว่าใช่ เรามีความมุ่งมั่นที่จะทำงานเฉกเช่นเดียวกับการหายใจ เราไม่สามารถจินตนาการว่าเราจะไปทำงานอย่างอื่นได้อย่างไรถ้าไม่ใช่ทำงานนี้!
7.ผู้คนสังเกตเห็นพลังงานในตัวเรา
"คุณดูมีชีวิตชีวาจัง" หรือ "ฉันไม่เคยเห็นคุณมีความสุขและดูสุขภาพดีขนาดนี้" "ไม่ต้องถามเลยว่าคุณกำลังตั้งใจทำสิ่งใดอยู่ มันทำให้คุณดูดีมาก" นี่อาจะเป็นหนึ่งในหลายประโยคที่เราอาจได้ยินจากคนใกล้ตัวของเรา เมื่อเราอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง ในตอนแรกพวกเขาอาจจะเป็นห่วงและกังวล แต่เมื่อเห็นเรามีความเจริญรุ่งเรื่องในสิ่งที่ทำ พวกเขาจะสังเกตเห็นความรักของเราที่มีต่องาน และสนับสนุนในความพยายามของเรา
8.หลับสนิทและพร้อมเสมอสำหรับวันรุ่งขึ้น
ทุกคืนที่เข้านอน เราจะขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นตลอดวันและหลับตาลงอย่างเป็นสุข เราจะรู้ตัวเองว่าเรากำลังเดินอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง เราใช้เวลาทั้งหมดของวันไปกับสิ่งที่เรารัก และไม่สามารถรอที่จะทำมันทั้งหมดอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น นี่คือชีวิตของเรา และไม่สามารถจินตนาการถึงชีวิตแบบอื่นได้อีก                                                                                             

อ้างอิง: http://incquity.com/articles/8-signs-you-found-right-job