ก่อนอื่นเรามารู้จักกับสาเหตุของการเมากันก่อนเลย โดยปกติแล้วสมองต้องมีการรับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายและตำแหน่งของศีรษะตลอดเวลา
เพื่อที่จะควบคุมท่าทางต่างๆของร่างกาย รวมถึงศีรษะด้วย
การรับรู้ด้านการทรงตัวของสมองนั้นจะทำงานประสานกันระหว่าง 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่
อวัยวะรับรู้การเคลื่อนไหวภายในหู ตา และการรับสัมผัสบริเวณอื่นๆทั่วร่างกาย
การประมวลผลจากสมองด้านสั่งการ
จะเข้ามามีส่วนในการประเมินและควบคุมการทรงตัวของร่างกายและศีรษะ
โดยทำงานร่วมกับอวัยวะทั้ง 3 ที่ได้กล่าวไป ซึ่งสมองจะทำการประมวลผลว่าต่อไปการเคลื่อนไหวของร่างกายและตำแหน่งศีรษะจะเป็นอย่างไร
เพื่อเป็นการช่วยให้สมองเตรียมพร้อมแล้วส่งคำสั่งไปที่กล้ามเนื้อตา กล้ามเนื้อคอ
และกล้ามเนื้อแขนขา เพื่อให้อยู่ในท่าทางที่ถูกต้อง การควบคุมการเคลื่อนไหว
จึงเป็นการทำงานประสานกันระหว่างสมองส่วนการสั่งการและการรับรู้
ดังนั้น
เมื่อเราขับรถ แล้วสมองสั่งการให้หมุนพวงมาลัยรถ
สมองก็จะสั่งการให้กล้ามเนื้อคอและตาหันไปดูทางโค้งที่จะเลี้ยว และรับรู้ภาพของทางโค้ง และประมวลผลว่าตำแหน่งของร่างกาย สอดคล้องกับภาพที่รับรู้ไว้หรือไม่
ดังนั้นผู้โดยสาร จึงมักเกิดอาการเมาความเร็วหรือที่เรียกว่าเมารถได้ง่ายกว่าผู้ขับ
เพราะผู้โดยสารนั้นจะประเมินการเคลื่อนไหวจากอวัยวะการรับรู้เท่านั้น
ไม่มีการทำงานของสมองส่วนสั่งการมาช่วยประมวลผล จึงไม่มีการเตรียมความพร้อมให้กับร่างกาย
หากข้อมูลที่รับมาจากอวัยวะทั้ง 3
ชิ้นเกิดความไม่สอดคล้องกันก็จะเป็นเหตุให้เมารถได้นั่นเอง ปัจจัยที่ทำให้คนเมายากง่ายไม่เท่ากันนั้นมีอยู่หลายปัจจัย เช่น
- อายุ เด็กอายุน้อยกว่า 2 ขวบ
มักจะทนต่อการเมารถ ส่วนอายุที่พบว่าเมารถมากที่สุดคือเด็กอายุ 12 ปี
และหลังจากนั้นอาการเมารถจะน้อยลงเรื่อยๆไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น
- ฮอร์โมน
ผู้หญิงท้องจะมีโอกาสเมารถได้ง่ายขึ้น
รวมทั้งระยะของวงรอบประจำเดือนของผู้หญิงก็มีผล ยาคุมกำเนิดของผู้หญิงก็มีผลเช่นกัน
-
โรคที่เกี่ยวข้องกับหูชั้นใน เช่น หูชั้นในอักเสบ
จะทำให้การรับรู้การเคลื่อนไหวของศีรษะไวกว่าปกติ
- โรคไมเกรน
คนที่เป็นโรคไมเกรน หรือมีอาการปวดหัวอยู่เดิม
จะทำให้สมองมีความไวในการรับรู้ความรู้สึกต่างๆมากกว่าปกติ
-
ปัจจัยทางจิตวิทยา เคยไหม บางครั้งถ้าเราไม่คิดว่ามันจะเป็นบางทีมันก็ไม่เป็น
-
รูปแบบการเคลื่อนที่ ความถี่ของการเคลื่อนที่และทิศทาง เช่น เลี้ยวซ้ายติดกัน 10
ครั้ง
-
ท่าทางของร่างกาย ผลการวิจัยบนเรือ(ไม่ใช่รถ) พบว่าท่านอนหงายเป็นท่าที่ทำให้เมาน้อยที่สุด
- ความเคยชิน
การรับรู้ของอวัยวะในหูชั้นในนั้นตอบสนองน้อยลง เมื่อมีการตอบสนองอยู่บ่อยๆ
จึงทำให้คนที่นั่งบ่อยๆไม่เป็น
เทคนิคที่ช่วยบรรเทาอาการเมารถ
1. นั่งแถวหน้าๆ หันหน้าไปทางหน้ารถ
เพราะการนั่งหน้ารถและมองไปข้างหน้า จะทำให้ทั้งตาและหูของเรารับรู้การเคลื่อนไหวของรถไปพร้อมๆกับอวัยวะควบคุมการทรงตัวที่อยู่ในหูชั้นใน
จึงมีโอกาสเมาน้อยกว่า
2. จินตนาการว่าตัวเองเป็นคนขับรถเอง เพราะคนขับมักจะไม่ค่อยเมารถ
เวลารถจะเลี้ยวก็คาดการณ์ล่วงหน้า และรู้ตัวขณะที่ร่างกายต้องหมุนเลี้ยวตามรถ
สมองก็จะเกาะติดสถานการณ์ได้ทัน ไม่เกิดความสับสน
3. มองไปไกลๆ จับเส้นขอบฟ้าไว้เป็นครั้งคราว
เพื่อให้สมองมั่นใจว่าอะไรอยู่บน อยู่ล่าง อะไรอยู่ซ้าย หรืออยู่ขวา
ขณะที่รถหรือพาหนะเคลื่อนไหววกไปวนมา ต้องหามองอะไรที่ไกลๆและนิ่งๆ
และรู้ตัวว่าตัวเรากำลังเคลื่อนไหวไป ขณะที่จุดนั้นนิ่ง
เพื่อให้สมองทราบสถานะและตำแหน่งของตัวเองได้ถูกต้อง
4. อย่าอ่านหนังสือหรือตั้งใจมองอะไรที่เป็นของเล็กๆ และเขย่าๆ
หรือเคลื่อนไหวบนรถ เพราะการเคลื่อนไหวของตัวเรากับวัสดุในรถจะไม่ไปด้วยกันทำให้สมองสับสนถึงตำแหน่งที่แท้จริงของตัวเอง
5. ตั้งศีรษะให้ตรง ให้ศีรษะได้อยู่นิ่งๆ เวลารถเลี้ยวก็ให้รู้ตัวว่ากำลังหันไปตามการเลี้ยวของรถ
อย่าให้ศีรษะไปพิงกับส่วนของรถที่เขย่าๆไปตามแรงกระแทกและการเคลื่อนไหว
ถ้าจะพิงพนักก็ให้ใช้หลังพิงโดยให้ศีรษะตั้งตรงขึ้น อย่าฟุบหน้าลง
หรือเอนศีรษะไปพิงอะไรข้างๆ จะทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพถูกจับแกว่งไกวขณะที่รถเลี้ยวไปมา
6. เมื่อเริ่มวิงเวียน การสูดหายใจลึกๆ
รับลมเย็นๆจากหน้าต่างรถ หรือใช้ผ้าเย็นเช็ดหน้าผากและหน้า จะช่วยลดอาการได้
7. การดมกลิ่นเปลือกส้มเขียวหวาน
(บีบให้มันพ่นกลิ่นออกมา) และกลิ่นเปลือกพริกขี้หนู (เอาพริกขี้หนูหลายๆเม็ดใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ)
ก็ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนได้เช่นกัน
8. ใช้จิตวิทยากันตนเอง วางฟอร์ม ตั้งสติ
ไม่ยอมแพ้แก่การเมา จะช่วยได้มาก
เพราะสมองรับอิทธิพลจากสัญญาณทั้งที่มาจากจิตสำนึกและจากประสาทอัตโนมัติ
ควรคอยบอกตัวเองว่าอย่าเสียฟอร์มต่อหน้าคนอื่นนะ
คู่สนทนาขณะเมารถต้องเป็นคนที่ดึงจิตเราให้สูงขึ้น เช่น เป็นคนให้กำลังใจ
อย่าสนทนากับคนที่กำลังพ่ายแพ้แก่อาการเมาเหมือนกัน เพราะจะพากันอ๊วก
9. หากทำท่าจะแพ้
หมดแรงสู้ ให้นอนลงแล้วหลับตาเพื่อปิดการส่งสัญญาณภาพเข้าสมองเป็นการลดความสับสน
ให้สมองได้รับสัญญาณจากอวัยวะคุมการทรงตัวที่อยู่ที่หูชั้นในเพียงอย่างเดียว
อาการจะดีขึ้น ถ้าม่อยหลับไปจริงๆเลยได้ยิ่งดี เพราะขณะนอนหลับ สมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายจะปิดรับสัญญาณเข้าใดๆ
ความสับสนที่สัญญาณขัดแย้งกันก็จะไม่มี อาการเมารถก็จะหายไปเอง
แหล่งข้อมูล
http://www.headlightmag.com
http://visitdrsant.blogspot.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น